บุคคลสำคัญของศาสนาอิสลามที่มีบทบาทในการเผยแพร่ศาสนาในฐานะองค์ศาสดา หรือ นบี มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ตามหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานได้ระบุชื่อนบีไว้จำนวน 25 คน โดยมีมุฮัมมัดเป็นนบีองค์สุดท้าย ซึ่งสามารถอธิบายได้ ดังนี้ (ฮัจญีอิสมาอีล อานนท์ เพ็ญพันธ์, 2560)

(1) นบีอาดัม (Nabi Adam) เป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจากดิน ตามคติของศาสนาอับราฮัม และยังเป็นศาสดาองค์แรกของพระอัลเลาะฮ์ด้วย

(2) นบีดรีส (Nabi Idris) มีพระนามเดิมว่า ฮูรมุส ท่านเกิดที่ประเทศอียิปต์ เป็นผู้มีความศรัธาต่อนบีอาดัม และได้ห้ามประชาชนของท่านมิให้ละเมิดต่อคำสั่งสอนที่นบีอาดัมได้เคยประกาศไว้ในยุคแรก แต่ก็มีเพียงประชาชนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เชื่อฟัง สุดท้ายท่านจึงได้เดินทางออกจากเมืองเพื่อให้หลุดพ้นจากสังคมคนบาป ไปพบกับดินแดนแห่งใหม่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่า โดยเชื่อว่าเป้นสถานที่ที่อัลเลาะฮ์เป็นผู้ประทาน เรียกว่า “บาบิยูน” ตั้งอยู่บริเวณที่ราบใกล้แม่น้ำไนล์ รวมทั้งได้สั่งสอนประชาชนที่ได้อพยพตามท่านว่า ให้ทุกคนมีความยึดมั่นภักดีต่ออังเลาะฮ์องค์เดียว และเนื่องจากประชาชนของท่านมีหลายเชื้อชาติและหลายภาษาที่แตกต่างกันมากกว่า 70 ภาษา อังเลาะฮ์จึงบันดาลพรให้ท่านนบีดรีสสามารถเข้าใจและสื่อสารได้ทุกภาษา เพื่อเผยแพร่งานศาสนา

(3) นบีนูฮ (Nabi Nuh) เป็นลูกหลานคนหนึ่งของนบีอาดัม เกิดที่เมืองโมซุล ประเทศอิรัก โดยในช่วงเวลานั้นบรรดาลูกลหายของท่านนบีอาดัมเริ่มมีความศรัธากลุ่มและเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่แตกต่างจากคำสอนของอัลเลาะฮ์ อัลเลาะฮ์จึงได้ทรงแต่งตั้งนบีนูฮให้ทำหน้าที่คอยว่ากล่าวตักเตือนมนุษย์ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ มิเช่นนั้นแล้วจะถูกลงโทษได้ ชาวมุสลิมต่างรู้จักนบีนูฮในการเป็นแบบอย่างของศาสดาที่ดี มีความอดทน และศรัธาต่ออัลเลาะห์เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าประชาชนทั่วไปจะดื้อดึงต่อคำสอนของอัลเลาะฮ์เพียงใด ท่านก็ได้ใช้ความอดทนและเวลาในการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนต่างๆ เหล่านั้น

(4) นบีฮูด (Nabi Hood) อาศัยอยู่ในเมือง อิรอม กับกลุ่มชนที่มีชื่อว่า ชาวอ๊าด ในสมัยนั้น กลุ่มชนดังกล่าวได้สักการะเทวรูป ตามความเชื่อที่ว่า เทวรูปต่างๆ เหล่านั้นจะบันดาลพรทำให้พวกเขาสมหวัง และปกป้องพวกเขาจากภัยอันตรายต่างๆ ได้ นบีฮูดจึงได้รับการบรรชาจากอัลเลาะห์ให้มากล่าวตักเตือนชาวอ๊าดให้ศรัธาและนับถือในพระเจ้าองค์เดียว คือ อัลเลาะฮ์ โดยให้เชื่อว่า มีเพียงอัลเลาะห์องค์เดียวเท่านั้น ที่จะปกป้องพวกท่านให้พ้นจากภัยอันตรายต่างๆ ได้ นบีฮูดจึงได้พยายามทำให้ชาวอ๊าดเข้าใจ และหันกลับมาศรัธาในอัลเลาะฮ์ ซึ่งได้อธิบายว่า เทพเจ้าต่างๆ ที่ท่านได้สักการบูชานั้น เป็นเหตุผลที่จะทำให้พวกท่านถูกทำลาย และได้รับความเดือดร้อน มีเพียงอัลเลาะฮ์องค์เดียวเท่านั้นที่จะช่วยพวกท่านได้ อย่างไรก็ตาม การตักเตือนดังกล่าว ก็ได้สร้างความขัดแย้งกับความศรัธาของชาวอ๊าด จนทำให้ชาวอ๊าดเริ่มมีความโอหัง ดื้อรั้น และฝ่าฝืนต่อคำสอนของอัลเลาะฮ์มากขึ้น จนในที่สุดชาวอ๊าดจึงชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และมีเพียงผู้ที่ศรัธาต่ออัลเลาะฮ์เท่านั้นมีปลอดภัย

(5) นบีซอลิฮ์ (Nabi Saleh) เป็นบุตรของอุบัยด์ บินญาบิร บินษะมูด เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด ความบริสุทธิ์ และความดี จึงมีผู้ที่ให้ความเคารพนับถือเป้นอย่างมาก อัลเลาะฮ์ได้มอบหมายให้นบีซอลิฮ์เรียกร้องผู้คยของเขาให้หันมาศรัธาอัลเลาะฮ์แต่เพียงผู้เดียว และไม่เอาสิ่งใดมาเป็นภาคีร่วมกันกับพระองค์ แต่ก็มีเพียงประชาชนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เชื่อ และยังมีประชาชนอีกส่วนหนึ่งที่ต่อต้าน

(6) นบีอิบรอฮีม (Nabi Ibrahim) หรืออับบราฮัม เกิดเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1900 เมืองอูร์ หรือประเทศอิรักในปัจจุบัน บิดามีนามว่า อาซัร เป็นหัวหน้านักบวช นบีอิบรอฮีมเป็นผู้ที่มีความฉลาด ช่างคิด ช่างสังเกต เมื่อเห็นผู้คนพากันเคารพสักการบูชาเทวรูปหิน จึงต้องข้อสังเกตว่า เทวรูปเหล่านั้นใช่พระเจ้าจริงๆ หรือไม่ เมื่อพระอัลเลาะฮ์เห็นดังนั้น จึงได้ทรงบอมคัมภีร์ให้เล่มหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีเนื้อความเกี่ยวกับมารยาท ข้อคิด และคติสอนใจต่างๆ เพื่อสอนนบีอิบรอฮีม และบ่าวที่คอยปฏิบัติตาม นบีอิบรอฮีมจึงเริ่มศรัทธาอัลเลาะฮ์ และคอยแสวงหาความดีจะพระองค์เสมอมา

(7) นบีลูฏ (Nabi Looz) เป็นหลานของนบีอิบรอฮีม และเป็นผู้ที่มีความศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์ ซึ่งในเวลาต่อมาอิบรอฮีมได้เดินทางออกจากประเทศอียิปต์ พร้อมกับลูฏ ไปยังเมืองสะดูม บนฝั่งตะวันตกของทะเลตาย (Dead Sea) ที่เต็มไปด้วยความชั่วช้า มีผู้คนคอยดักปล้นและเข่นฆ่าอยู่เป็นจำนวนมาก โดยความชั่วร้ายอีกอย่างหนึ่ง ที่ถือได้ว่าเป้นสิ่งปกติของคนในเมืองนี้ คือ การที่ผู้ชายมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน หรือ “รักร่วมเพศ” ซึ่งเป็นการกระทำอย่างเปิดเผย ไร้ซึ่งความละอายแก่บาป ในช่วงเวลาที่ความชั่วร้ายและอาชญากรรมกำลังแพร่หลาย อัลเลาะฮ์จึงดลบันดาลใจให้ลูฏเรียกร้องให้ประชาชนละทิ้งพฤติกรรมดังกล่าวที่ไม่เหมาะสม แต่ประชาชนกลับปฏิเสธ พร้อมทั้งขับไล่ลูฏให้ออกไปจากเมือง หากยังไม่หยุดพฤติกรรมดังกล่าว

(8) นบีอิสมาอีล (Nabi Ismaill) เกิดที่ประเทศอิรัก หรืออาณาจักรบาบิโลนในอดีต เป็นบุตรของนบีอิบรอฮีม ซึ่งต่อมานบีอิบรอฮีมได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมักกะห์ เมื่อมาถึงมักกะห์ พักลงที่กะอะบะห์ นบีอิสมาอีลร้องไห้เพราะความหิวน้ำ นางฮาญัรผู้เป็นแม่ ก็ออกเดินเสาะหาแหล่งน้ำ ระหว่างเขาศอฟากับเขามัรวะห์ นบีอิสมาอีลก็ร้องเสียงดังขึ่นดังขึ้น นางฮาญัรก็รีบวิ่งรีบก้าวจ้ำเสาะหาแหล่งน้ำ แต่มาพบเลยสักที่ จนนบีอิสมาอีลร้องไห้แล้วตีนถีบคุ้ยทรายออกเป็นหลุมเป็นวงใหญ่ขึ้น นางฮาญัรก็วิ่งกลับมาหานบีอิสมาอีลเพื่อจะมาปลอบใจ แต่กลับได้เห็นแอ่งน้ำซึมขึ้นมาจากผืนทราย นางจึงคุ้ยทรายป้องขึ้นเป็นแอ่งเล็กๆ ได้น้ำให้นบีอิสมาอีลดื่มกิน และบ่อน้ำนั้นก็เป็นบ่อน้ำดื่มที่ ชื่อ “ซัม ซัม” มาตลอดจนทุกวันนี้ หลายพันปี ไม่เคยเหือดแห้ง ปัจจุบันทางการซาอุดิอาราเบีย ปิดทางเข้าบ่อน้ำซัมซัมไปแล้ว ด้วยสาเหตว่า ผู้คนจะลงไปใช้กันแล้วสกปรก และปริมาณผู้คนมากมายในสมัยนี้ไม่เพียงพอต่อการใช้ของชาวฮุจญาจ 2-3ล้านคนในช่วงเทศกาล ฮัจญ์ จึงใช้วิธีสูบขึ้นมาด้วยปั้มน้ำพลังสูง บรรจุใส่ขวดพลาสติก และเติมใส่ถังน้ำดื่มเรียงรายไว้ในมัสญิดหะรอมทุกๆ 20 เมตร จะมีถังน้ำดื่มวางไว้กลุ่มละ 6-7 ถัง มีแก้วพลาสติกให้ใช้ดื่มแล้วทิ้ง แจกจ่ายให้ชาวฮุจญาจในมักกะห์ และจัดส่งใส่ถังไปนครมะดีนะห์ด้วย
นบีอิบรอฮีมได้ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่บริเวณกะอะบะห์นั้น แล้วก็ปฏิสังขรณ์กะอะบะห์ขึ้นมาใหม่ หลังจากนบีอาดัมจากไป ไม่มีใครมาใช้ (สร้างโดยมลาอิกะห์) นบีอิบรอฮีมก็อาศัยอยู่กินที่มักกะห์มาเรื่อยจนกระทั่งนบีอิสมาอีลโตเป็นหนุ่มแล้ว ท่านนบีอิบรอฮีมฝันว่า อัลเลาะฮ์ขอร้องให้นบีอิบรอฮีมเชือดนบีอิสมาอีลพลีเพื่อพระองค์ เช้ามาท่านนบีอิบรอฮีมก็มาเล่าให้นบีอิสมาอีลฟัง นบีอิสมาอีลฟังแล้วก็ตอบผู้เป็นบิดาไปว่า “ในเมื่อเป็นความประสงค์ของอัลเลาะฮ์ ขอให้ท่านบิดาจงทำตามประสงค์ เพื่อสนองพระองค์เถิด” จนมาถึงวันที่นบีอิบรอฮีมนำนบีอิสมาอีล มาที่ที่จะทำการเชือด (ที่ทุ่งมีนา) ชัยฏอนมารร้ายได้มายุยงว่า “ลูกของท่าน ท่านจะมาเชือดพลีเพื่ออะไรกัน ไม่ต้องทำการสนองประสงค์อัลเลาะฮ์หรอก” ท่านนบีอิบรอฮีมก็หยิบก้อนหินขว้างปา ไล่ชัยฏอนไป พอนบีอิบรอฮีมเดินมาจะทำการเชือดอีก ชัยฏอนมันก็โผล่มาอีก มายุยงว่า “ลูกของท่าน ท่านจะมาเชือดพลีเพื่ออะไรกัน ไม่ต้องทำการสนองประสงค์อัลเลาะฮ์หรอก” ท่านนบีอิบรอฮีมก็หยิบก้อนหินขว้างปา ไล่ชัยฏอนไปอีก พอจะเชือดอีกเป็นครั้งที่ 3 ไอ้ชัยฏอนมารร้ายตัวพ่อมายุยงว่า “ลูกของท่าน ท่านจะมาเชือดพลีเพื่ออะไรกัน ไม่ต้องทำการสนองประสงค์อัลเลาะฮ์หรอก” ท่านนบีอิบรอฮีมก็หยิบก้อนหินขว้างปา ไล่ชัยฏอนไปไกล แล้วมันก็หายลับไป ท่านนบีอิบรอฮีมก็ลงมือเชือด ทันใดนั้นอัลเลาะฮ์เห็นแล้วว่านบีอิบรอฮีมศรัทธามั่นต่อพระองค์ พระองค์จึงเปลี่ยนตัวจากนบีอิสมาอีลมาเป็นแกะตัวอ้วนพลี ท่านนบีอิบรอฮีมจึง สรรเสริญอัลเลาะฮ์ว่าพระองค์เป็นผู้เมตตา เป็นผู้เพียงพอ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นตำนานการเชือดกุรบ่านอีกด้วย
นบีอิบรอฮีมได้ขอดุอาอ์ว่า โอ้พระผู้ภิบาลของฉัน ได้ทรงโปรดทำเมืองนี้ให้เป็นที่ปลอดภัยและได้ทรงโปรดประทานผลไม้นานาชนิดแก่ชาวเมืองผู้ศรัทธาในอัลเลาะฮ์และวันสุดท้ายด้วยเถิด พระองค์จึงได้ตอบว่า สำหรับบรรดาผู้ปฎิเสธนั้น พระองค์ก็จะให้ริสกีและสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในโลกนี้แก่พวกเขา และความปลอดภัยพวกเขาด้วย ส่วนในโลกหน้า พระองค์จะส่งเขาไปสู่การลงโทษในไฟนรก ขอพระองค์ได้ทรงแสดงให้เรารู้ถึงการปฎิบัติศาสนกิจของเราและได้ทรงอภัยโทษแก่เราแน่แท้ พระองค์ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นคุณโยชน์มากมายที่พวกเขาจะได้รับและเพื่อพวกเราจะได้กล่าวคำรำลึกถึงพระนามของอัลเลาะฮ์ในวันทุกๆ วัน

(9) นบีอิสฮาก (Nabi Ishaq) คัมภีร์กุรอานไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของนบีอิสฮากไว้มากนัก แต่นักอรรถาธิบายคัมภีร์กุรอานผู้น่าเชื่อถือได้กล่าวว่า เมื่อนบีอิบรอฮีมรู้สึกว่าชีวิตของตนกำลังใกล้วันสิ้นสุดเข้ามาทุกที เขาอยากที่จะเห็นอิสฮากได้แต่งงาน เขาไม่ต้องการให้อิสฮาก แต่งงานกับหญิงชาวคะนาอัน ที่เคารพบูชารูปปั้น ดังนั้น เขาจึงได้ส่งคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งไปยังฮารานในอิรักเพื่อเลือกเจ้าสาวให้อิสฮาก ปรากฏว่าคนรับใช้ได้ไปเลือก ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อรีเบคาห์ บินติ เบซูเอล อิบนุนาฮอร์ ที่เป็นพี่น้องคนหนึ่งของนบีอิบรอฮีม อิสฮากได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้และนางได้ให้กำเนิดแฝดคู่หนึ่งคือ อัลอีซ (อีเซา) และยะอฺกู๊บ (ยาโกบ Jacob)

(10) นบียะอ์กูบ (Nabi Yaacub) ยะอฺกู๊บเป็นลูกของนบีอิสฮากและเป็นนบีคนหนึ่ง ท่านมีฉายานามว่า อิสรออีล ซึ่งมีความหมายว่า บ่าวของอัลเลาะฮ์ มีภรรยาชื่อ รีเบคาห์ เนื้อเรื่องของท่านนบียะอฺกู๊บ หรือยาโคบ  ที่อัลกุรอานกล่าวถึงนั้นก็ยังคงเน้นตามหลักจุดมุ่งหมายเดิม ที่สะท้อนถึงการ เทิดพระเกียรติ์ของอัลเลาะฮ์พระเจ้าองค์เดียว ที่ประทานทางนำจากพระองค์มาสู่มนุษย์อย่างเด่นชัด ยะอฺกู๊บได้ออกจากครอบครัวของเขาไป เมื่อตกกลางคืน เขาก็ได้พบสถานที่พักผ่อนแห่งหนึ่ง เขาได้เอาหินมาหนุนหัวและนอนหลับไป เขาได้ฝันเห็นมีบันไดจากสวรรค์ลงมายังโลกโดยมีมลาอิกะห์กำลังขึ้นลงอยู่ และพระเจ้าได้ตรัสกับเขาว่า “ฉันจะให้พรเจ้าและลูกหลานของเจ้าและทำให้แผ่นดินนี้เป็นของเจ้าและของผู้ที่จะมาหลังจากเจ้า”
เมื่อเขาตื่นขึ้น เขามีความสุขจากสิ่งที่เขาเห็นในความฝันและสาบานว่าถ้าเขากลับมาถึงครอบครัวของเขาอย่างปลอดภัย เขาจะสร้างวิหารแห่งหนึ่งที่นี่เพื่ออัลเลาะฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ นอกจากนี้แล้วเขายังได้สาบานที่จะให้ทรัพย์สินหนึ่งในสิบของเขาเพื่ออัลเลาะฮ์ เขาเทน้ำมันลงบนก้อนหินเพื่อเป็นสัญลักษณ์และเรียกสถานที่แห่งนั้นว่า “เบเธล” (บ้านของอัยล์ส) ซึ่งหมายถึง “บ้านของอัลเลาะฮ์” ต่อมาสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของเมืองเยรูซาเล็ม
นบียะอฺกู๊บมีลูกชาย 12 คนและจากลูกชาย 12 คนคนนี้ได้ก่อให้เกิดลูกหลานอีกมากมาย ลูกหลานของนบียะอฺกู๊บจึงถูกเรียกว่า บะนีอิสรออีล (แปลว่า ลูกหลานของอิสรออีล) ยูซุฟเป็นลูกชายคนหนึ่งของนบียะอฺกู๊บและมีน้องชายร่วมแม่เดียวกันคนหนึ่งชื่อบินยามีน ขณะนั้นดินแดนนี้ (เยรูซาเล็ม) มีชาวฟิลิตินมาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่ได้รับอิสลามตามนบีอิรอฮีม

(11) นบียูซุฟ (Nabi Yusuf) นบียูซุฟเป็นลูกชายคนหนึ่งของนบียะอฺกู๊บและมีน้องชายร่วมแม่เดียวกันคนหนึ่งชื่อบินยามีน ในตอนเป็นเด็ก ยุซุฟเป็นดีและน่ารัก ด้วยเหตุนี้เอง พี่ๆ ของยูซุฟจึงรู้สึกอิจฉาที่พ่อของพวกตนรักยูซุฟมาก วันนี้ยูซุฟได้มาหาพ่อแม่ของเขาและกล่าวว่า  พ่อครับ เมื่อคืนนี้ผมฝันเห็นดาวสิบเอ็ดดวง เมือฟ้งสิ่งที่ยูซุฟเล่า นบียะอฺกู๊บก็รู้ว่าดวงอาทิตย์ในความฝันของยูซุฟก็คือตัวท่านนั่นเอง ส่วนดวงจันทร์ก็คือภรรยาของท่าน และดวงดาวอีกสิบเอ็ดดวงนั้นคือพี่น้องของยูซุฟนบียะอฺกู๊บรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า อัลเลาะฮ์จะเหลือยูซุฟให้เป็นนบีและจะประทานสติปัญญาแก่ยูซุฟเพือทำหน้าที่ที่เผยแผ่อิสลามเหมือนกับท่านและพ่อกับปู่ของท่านคือนบีอิสฮากและนบีอิบรอฮีม พวกพี่ๆ ของยูซุฟก็พายูซุฟมายังบ่อน้ำแห่งหนึ่ง และทุกคนก็ได้ร่วมกันจับยูซุฟโยนลงไปในบ่อน้ำ ขณะที่ยูซุฟอยู่ในบ่อน้ำ อัลเลาะฮ์ได้บอกแก่ยูซุฟว่า วันหนึ่งข้างหน้า เจ้าจะได้มีโอกาสเตือนพวกเขาให้ถึงการกระทำดังกล่าว
ต่อมาได้มีกองคาราวานขบวนพ่อค้ากลุ่มหนึ่งผ่านมาและแวะพักใกล้บ่อน้ำเพื่อตักน้ำขึ้นมาดื่มและนำไปเป็นเสบียง บังเอิญผู้คนในกองคารวานพบเห็นยูซุฟในบ่อน้ำนั้น จึงช่วยกันนำตัวยูซุฟขึ้นมาจากบ่อและนำตัวเขาไปขายให้กษัตริย์ในอียิปต์ในราคาไม่มากนัก เพราะยูซุฟยังเป็นเด็กอยู่ และยูซุฟเป็นเด็กน่ารัก กษัตริย์ผู้ซื้อตัวยูซุฟไปจึงบอกแก่ภรรยาของเขาว่า เธอจงเลี้ยงเขาให้ดี ด้วยความช่วยเหลือของอัลเลาะฮ์ ยูซุฟจึงรอดชีวิตมาได้และยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี หลังจากที่เวลาผ่านไปได้หลายปี ยูซุฟก็เติบโตเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตางดงามจนเป็นที่หลงใหลของนางสุไลคอภรรยาของกษัตริย์ที่ซื้อเขามาเลี้ยง นางจึงหาทางยั่วยวนชวนให้ยูซุฟมีความสัมพันธ์กับนาง ยูซุฟจึงได้กล่าวว่า ขออัลเลาะฮ์ทรงคุ้มครองฉันจากสิ่งนี้ด้วยเถิด โอ้พระอภิบาลของฉันพระองค์ได้ทรงให้ที่พำนักที่ดีแก่ฉันแล้ว เมื่อท่านนบียูซุฟปฏิเสธนาง นางสุไลคอภรรยาของกษัตริย์ ก็วางอุบายให้ยูซุฟเข้าคุก ถึงแม้ยูซุฟไม่ได้ทำอะไรเลย ขณะที่อยู่ในคุก  นบียูซุฟอายุได้มาณ 20 ปีแล้ว และที่นั่นเองนบียูซุฟก็ได้รู้จักผู้ถูกจำขังคุกอีกสองคน วันหนึ่ง ขณะที่นบียูซุฟพูดคุยกับคนทั้งสอง คนหนึ่งได้กล่าวกับนบียูซุฟว่า ฉันฝันเห็นว่าฉันกำลังคั้นเหล้าองุ่นอยู่  อีกคนหนึ่งก็กล่าวว่า ฉันก็ฝันเห็นตัวเองกำลังแบกขนมปังอยู่บนหัวและมีนกมาจิกกิน ช่วยทำนายฝันให้เราหน่อยเถอะยูซุฟ เพราะเราเห็นท่านเป็นคนดี  นบียูซุฟได้ตอบว่า เอาเถอะฉันจะทำยนายฝันให้ทั้งสองก่อนอาหาร และกล่าวว่าเราไม่เคารพสักการะสิ่งใดเป็นพระเจ้าร่วมกับอัลเลาะฮ์ นี่คือความโปรปรานของอัลเลาะฮ์ ที่ทรงมีต่อเราและมนุษยชาติ  แต่ว่ามนษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้คุณ พระองค์ได้ทรงบัญชาพวกท่านว่าจงอย่าเคารพสักการะสิ่งใดนอกจากพระองค์  นี่คือแนวทางที่ถูกต้องและเที่ยงตรงที่สุด  อัลเลาะฮ์ได้ทรงกำหนดเอาไว้แล้ว  
หลังจากนั้น นบียูซุฟได้กล่าวว่า กับคนที่จะถูกปล่อยตัวว่า หากมีโอกาสขอท่านได้เอ่ยถึงฉันให้เจ้านายของท่านได้รู้ด้วยบ้างก็แล้วกัน คืนหนึ่ง กษัตริย์อียิปต์ได้ฝันเห็นวัวอ้วนเจ็ดตัวกำลังถูกวัวผอมเจ็ดตัวกินขณะนั้น หมอดูหลายคน ทำนายทายทักไม่ถูกใจกษัตริย์ ปุโรหิตที่เคยติดคุกร่วมกับยูซุฟนึกขึ้นได้ว่ายูซุฟทำนายทายทักฝันได้ใกล้เคียงมาก จึงแนะนำกษัตริย์ให้นำยูซุฟจากในคุกมาทำการทำนายฝัน กษัตริย์ก็สั่งให้คนไปนำยูซุฟมาเฝ้าและทำนายฝัน นบียูซุฟจึงกล่าวว่า นับแต่นี้ไปพวกท่านจะไถหว่านแผ่นดินต่อเนี่องกันไปได้เจ็ดปี ดังนั้น จงเก็บเกี่ยวข้าวและพืชพันธุ์ธัญญหาร มานวดเอาเมล็ดมาแค่จำนวนที่พอกิน  ส่วนที่เหลือนั้นปล่อยไว้ให้มันติดอยู่กับรวงและเก็บสำรองไว้  อย่าได้นำมากิน  เพราะหลังจากเจ็ดปีนี้นั้นแผ่นดินจะแห้งแล้วต่อเนื่องกับเป็นเวลาเจ็ดปี หลังจากนั้นก็จะมีปีหนึ่งซึ่งฝนตกชุกเพราะคำวิงวอนของผู้คน และพวกเขาก็จะได้น้ำผลไม้ไว้คื่มกิน กษัตริย์ดีใจมากที่ยูซุฟทำนายทายทักได้ข้อคิดที่ดีมากๆ จึงไตร่สวนว่าเหตุใดจึงติดคุก นบียูซุฟก็กล่าวว่า เพราะนางสุไลคอนำท่านไปติดคุก ในวันที่นางมีเพื่อนมาชุมนุมกัน กษัตริย์จึงได้สั่งให้เรียกนางสุไลคอและบรรดาแขกผู้หญิงที่นางสุไลคอเชิญมาในวันนั้นมาไต่สวนต่อหน้าข้าราชบริพารอย่างเปิดเผย  เมื่อพวกผู้หญิงยืนยันเช่นนั้นว่า นางสุไลคอยั่วยวนยูซุฟ แต่ยูซุฟไม่ตอบสนองนางสุไลคอ นางจึงสั่งทหารมาจับเข้าคุก นางสุไลคอจำนนด้วยพยานหลายปาก จึงได้ออกมาสารภาพว่า เอาละ ฉันเองที่เป็นฝ่ายพยายามยั่วยวนปล้ำเขา  แต่เขาไม่ยอมทำผิด หลังจากไต่สวนเสร็จแล้ว กษัตริย์จึงได้มีบัญชาว่า จงนำตัวยูซุฟมาพบฉันเพื่อที่ฉันจะได้แต่งตั้งเขาให้เป็นคนสนิทของฉัน เมื่อนบียูซุฟถูกนำตัวมาเข้าเฝ้า ให้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องเสบียงอาหาร และในช่วงเวลาแห้งแล้ง ไม่มีฝนตกบริเวณนั้น ชาวเมืองชามบางกลุ่มต้องไปอาศัยขอความอนุเคราะห์จากประเทศอียิปต์ พี่น้องของนะบียูซุฟ ไปประเทศอียิปต์เพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งผู้ที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังคือท่านนบียูซุฟ พวกพี่น้องท่านนบียูซุฟจึงขออภัยท่านนบียูซุฟว่าพวกเขาทำตัวต้อยต่ำมาขอความช่วยเหลือจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่นบียูซุฟไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอันใด แล้วท่านหาโอกาสไปเชิญบิดา (นบียะอฺกู๊บ) มารดา และพี่น้องของเขาอพยพมาอยู่ที่เมืองอียิปต์นี่
กษัตริย์ก็ได้บอกนบียูซุฟว่านับแต่นี้เป็นตันไป เจ้ารับแต่งตั้งให้เป็นคนสนิทของเรา และเราจะมอบความไว้วางใจให้เจ้าดูแลแผ่นดินของเราอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เองที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงทำให้นบียูซุฟมีอำนาจในแผ่นดิน ท่านมีสิทธิ์ทุกอย่างเต็มที่ที่จะเป็นเจ้าของสิ่งใดก็ได้ที่ท่านต้องการในแผ่นดินอียิปต์  หลังจากนั้นครอบครัวของนบียะอฺกู๊บทั้งหมดก็ออกเดินทางจากดินแดนคะนาอันสู่อียิปต์เพือไปพำนักกับนบียูซุฟตลอดไป
ประวัติศาสตร์บอกไว้เพียงว่า นบียะอฺกุ๊บและภรรยา (พ่อแม่นบียูซุฟ) อพยพไปหานบียูซุฟที่อิยิปต์แล้วกลับไปคะนาอันอีกหรือไม่ ดูจากเหตุการณ์นบียูซุฟอยู่ปกครองดินแดนอิยิปต์นบียะอฺกู๊บก็น่าจะอยู่ที่อิยิปต์ต่อไป และดำรงไว้ซึ่งศาสนาอิสลามตามท่านนบีอิบรอฮีมผู้เป็นปู่ คือ มีพระเจ้าองค์เดียว

(12) นบีซุลกิฟล์ (Nabi Zulkifli) หนึ่งในบรรดาศาสดาที่ถูกกล่าวถึงในกุรอาน คือ ท่านศาสดาซุลกิฟล์ ชื่อท่านถูกกล่าวถึง 2 ครั้งด้วยกัน ในโองการที่ 85 ซูเราะฮ์ อัมบิยาอ์ กล่าวว่า จงรำลึกถึงเรื่องราวของอิสมาอีลและอิดรีส และซัลกิฟลิ แต่ละคนอยุ่ในหมู่ผู้อดทนขันติ และในอายะฮ์ที่ 48 ซูเราะฮ์ ศอด ที่กล่าวว่า จงรำลึกถึงอิสมาอีล และอัลยะซะอฺ และซัลกิฟลิ และทุกคนอยู่ในหมู่ผู้ดีเลิศ เรื่องราวเกี่ยวกับท่านศาสดา ซุลกิฟล์ นักวิชาการมีทัศนะที่แตกต่างกันออกไป แต่ประเด็นที่เป็นที่บรรดานักวิชาการยอมรับกันทั้งหมดคือ ท่านศาสดา ซุลกิฟล์ เป็นศาสนทูตของอัลเลาะฮ์ ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าชื่อของท่านถูกกล่าวไว้ในกุรอานถึงสองครั้งด้วยกัน ตามรายงานหะดีษกล่าวว่า ท่านศาสดาซุลกิฟล์ เป็นบุตรของท่านศาสดา อัยยูบ ซึ่งชื่อเดิมของท่านคือ บาชีร อิบนิ อัยยูบ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย ท่านมีอายุ 95 ปี

(13) นบีอัยยูบ (Nabi Ayub) ท่านนบีอัยยูบ อาลัยฮิสลาม นั้นมีลูกหลาน ทรัพย์สินเงินทอง ปศุสัตว์ และเรือกสวนไร่นามากมาย หลังจากนั้นอัลเลาะฮ์ได้ทรงทดสอบท่านด้วยสิ่งดังกล่าวนี้ทั้งหมด โดยพระองค์ทรงให้ทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้นไป ต่อมาพระองค์ทดสอบท่านด้วยโรคเรื้อนที่ลุกลามไปทั่วร่างกายของท่าน ไม่มีอวัยวะส่วนใดเลยที่ไม่เป็นโรค นอกจากหัวใจและลิ้นที่ท่านใช้มันในการซิกุรุลลอฮฺเท่านั้น จนกระทั่งมิตรสหายต่างพากันรังเกียจและออกห่าง ท่านจึงถูกโดดเดี่ยวอยู่ในมุมหนึ่งของเมือง ไม่มีใครเหลียวแล นอกจากภรรยาของท่านที่คอยปรนนิบัติดูแลท่าน
แม้กระนั้นก็ตาม ท่านก็ยังอดทน แบกรับการทดสอบทางร่างกายด้วยจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง ไม่ปริปากร้องทุกข์ใดๆ ท่านนบีอัยยูบเจ็บปวดเป็นเวลานาน ภรรยาของท่านได้กล่าวกับท่านว่า โอ้อัยยูบเอ๋ย หากว่าท่านจะขอดุอาอ์ต่อพระเจ้าของท่าน ให้พระองค์ทำให้ท่านหายจากโรคร้ายนี้เสียที ท่านนบีอัยยูบจึงกล่าวว่า “ฉันนั้นมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข มีสุขภาพดีมา 70 ปี มันน้อยไปหรือที่ฉันจะอดทนเพื่อพระองค์ 70 ปี”
เมื่อตัวหนอนที่เกิดจากบาดแผลของท่านได้คืบคลานเข้าไปที่หัวใจและลิ้นของท่านซึ่งเป็นอวัยวะที่ท่านใช้ซิเกรและรู้จักอัลเลาะฮ์ตะอาลา ท่านจึงวิงวอนขอต่ออัลเลาะฮ์ด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ “แท้จริงฉันนั้น ความทุกข์ยากได้ประสบแก่ฉัน และพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงเมตตายิ่งในหมู่ผู้เมตตาทั้งหลาย” ด้วยเกรงว่าความบกพร่องจะเกิดขึ้นกับการทำ อิบาดะห์ของท่าน ซึ่งในคำวิงวอนของท่านมิได้มีกลิ่นอายของการเรียกร้องให้ร่างกายได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นอัลเลาะฮ์ตะอาลาจึงตอบรับคำวิงวอนอันบริสุทธิ์ใจโดยการตอบรับที่เหนือธรรมชาติ พระองค์ได้ทรงปลดเปลื้องความทุกข์ยากที่ท่านนบีอัยยูบได้แบกรับมาเป็นเวลานานออกไป ทรงคืนสุขภาพอันสมบูรณ์ให้แก่ท่าน และประทานความเมตตาอันมากมายและครอบคลุมให้แก่ท่าน
คำวิงวอนของท่านนบีอัยยูบนั้น เราสามารถนำมาเป็นบทเรียนเพื่อการขัดเกลาจิตใจและพยายามสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลาได้เป็นอย่างดี

(14) นบีมูซา (Nabi Moses) เป็นบุตรของอิมรอน สืบเชื้อสายมาจากลูกหลานของท่านนบีอิบรอฮีม ลูกหลานของอิสราอีลได้ถูกกดขี่จนกระทั่งต้องกลายเป็นทาสรับใช้ฟิรฺเอานฺ (ฟาโรห์ Faroah) ถึง 400 ปี ช่วงนั้นจะเรียกเชื้อสายอิสราเอลว่าฮิบรู จนกระทั่งนบีมูซา (โมเสส) (หรือโมเชซ์) ลูกชาวฮิบรูที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยฟิรเอานฺจนกลายเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ อียิปต์เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมของมนุษย์หลายพันปีมาแล้ว และมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาหลายราชวงศ์จนถึง สมัยของฟิรฺเอานฺ (ฟาโรห์ Faroah) ซึ่งเป็นยุคที่อียิปต์มีกษัตริย์ที่วางตนเป็นพระเจ้าเหนือชีวิตปวงประชาและบังคับให้พสกนิกรกราบไว้บูชาเขา

(15) นบีฮารูน (อาโรน) เรื่องราวเกี่ยวกับท่านนบีฮารูน ไม่ปรากฏรายละเอียดมากนัก จะพบชื่อนบีฮารูนคู่กับนบีมูซา สมัยโต้แย้งกับฟิรเอานฺ(ฟาโรห์) และร่วมอพยพกับบะนีอิสรออีล ไปกับนบีมูซา และร่วมปกครองบนีอิสรออีลจนวาระสุดท้ายของท่านนบีฮารูน และนบีมูซาอัลกุรอานไม่ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของท่านนบีมูซา

(16) นบีอิลยาส (Nabi IIyas) นบีอิลยาส เป็นนบีคนหนึ่งในปาเลสไตน์ มีชีวิตอยู่ในราว 870 ปี ก่อน ค.ศ. หลังนบีสุลัยมานราว 100 ปี ใช้คัมภีร์เตาร็อตของนบีมูซา เหมือนศาสนทูตคนก่อนๆ กษัตริย์ของอิสรออีล ในสมัยนั้นคือ อัคอาบ บุตรของกษัตริย์อมรี ซึ่งได้แต่งงานกับนางเอซาเบล เจ้าหญิงแห่งเฟนิเซีย เมื่อนางได้เป็นราชินี ก็มีอำนาจเหนือสามี บังคับให้สามีนับถือบูชาเทวรูปเหมือนตน และได้ก่อสร้างวิหารเพื่อประดิษฐานเทวรูป บะอัล ซึ่งเป็นที่บูชาของชาวเฟนิเซีย นอกจากนี้ยังสนับสนุนการผิดประเวณี และการทำอนาจารต่างๆ อย่างโจ่งแจ้ง บรรดาเหล่าผู้ทรงธรรมต่างๆ ในแผ่นดินที่ต่อต้านการกระทำอันชั่วร้ายนี้ ก็ถูกนางสั่งให้สังหารเป็นจำนวนมาก นบีอิลยาสจึงตักเตือนเหล่าอิสรออีลให้หยุดบูชารูปปั้น และหยุดทำความชั่ว เมื่อไม่สามารถที่จะยับยั้งได้ นบีอิลยาสจึงรวบรวมไพร่พล เพื่อต่อสู้กับพวกผู้นำของศาสนาบะอัล เมื่ออัคอาบตาย นางเอซาเบลก็ยังคงยืมอำนาจของ อะคาซียะห บุตรชายที่ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทนบิดา เมื่อ อะคาซียะห ถูกฆ่าตายในสงครามกับชนชาติอื่น นางก็ยังยืมอำนาจของ เยโฮรัม บุตรชายอีกคนที่ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทนพี่ชาย

(17) นบียูนุส (Nabi Yunus) นบียูนุส เป็นที่จักในฉายาว่า “ซุนนูน” อัลเลาะฮ์ได้ทรงกล่าว เกี่ยวกับผู้คนของท่านว่า “มีตัวอย่างของเมือง (ชุมชน) ใดบ้างไหม ที่เชื่อ (หลังจากได้เห็นการลงโทษ) และความศรัทธาของชุมชน (ในขณะนั้น) ได้ช่วยเหลือชุมชนนั้น ไว้ (จากการลงโทษ)  (คำตอบคือไม่มี) ยกเว้นแต่หมู่ชนของยูนุส เมื่อพวกเขาศรัทธา เราจึงได้ปลดเปลื้องการลงโทษ อันน่าอับอายออกไป จากพวกเขาในชีวิตโลกนี้ และได้ให้พวกเขาใช้ปัจจัยทั้งหลายแห่งชีวิตชั่วเวลาหนึ่ง”
ครั้งหนึ่ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนิเนเวห์ เป็นผู้บูชาเทวรูปที่ใช้ชีวิต โดยไม่มีความละอาย ดังนั้น นบียูนุสจึงได้ถูกลงมา สอนผู้คนเหล่านั้น ให้หันมาเคารพสักการะอัลเลาะฮ์ แต่ผู้คนไม่ชอบให้เขา ไปก้าวก่ายการเคารพสักการะเทวรูปของตน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงโต้แย้งว่า “เราและบรรพบุรุษ เคารพกราบไหว้พระเจ้าเหล่านี้ มาเป็นเวลานานแล้ว และไม่เห็นมีโทษอะไร เกิดขึ้นกับเรา” ถึงแม้นบียูนุส พยายามจะชี้ให้เห็นว่า การเคารพกราบไหว้เทวรูปต่างๆ เป็นเรื่องเขลา งมงาย และคำสั่งสอนของอัลเลาะฮ์ เป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ผู้คนก็ไม่สนใจท่าน การลงโทษของอัลเลาะฮ์ก็จะมายังพวกเขา แต่แทนที่จะกลัวอัลเลาะฮ์  ผู้คนได้บอกนบียูนุสว่า พวกเขาไม่กลัวคำข่มขู่ของท่าน ท่านนบียูนุสกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะปล่อยให้พวกท่าน ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนกันเอง”
หลังจากนั้น ท่านก็ออกจากเมืองนิเนเวห์ ไปด้วยความกลัวอัลเลาะฮ์จะทรงกริ้ว ในไม่ช้านี้ เมื่อเขาหนีไปด้วยความโกรธ เพราะเขาคิดว่า เราจะไม่เอาความผิดเขา แต่หลังจากนั้น เขาก็วิงวอนต่อเรา จากท่ามกลางความมืด โดยกล่าว ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ แท้จริง ฉันอยู่ในหมู่ผู้ทำผิด แต่ยังไม่ทันที่นบียูนุสออกไปจากเมือง ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี ที่เหมือนไฟกำลังไหม้ ผู้คนต่างพากันตกใจกลัว เมื่อเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสีเช่นนั้น และนึกถึงการถูกทำลายของชาวอ๊าด ชาวษะมูดและผู้คนของนูฮ์ หลายคนถามตัวเองว่า จะประสบชะตากรรมเดียวกัน หรือไม่  แต่แล้วความศรัทธาก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในใจ ของพวกเขา อย่างช้าๆ หลังจากนั้น ผู้คนทั้งหมดก็ไปรวมตัวกันแอยู่บนภูเขา และวิงวอนขอความเมตตา และการอภัยโทษต่ออัลเลาะฮ์ บนภูเขาที่มีเสียงร้องไห้ของพวกเขา ก้องกังวานไปทั่ว นั่นเป็นช่วงเวลา ที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด อย่างแท้จริงใจ
ดังนั้น อัลเลาะฮ์จึงได้ทรงคลายความกริ้ว ของพระองค์ และประทานความจำเริญแก่พวกเขา อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพายุร้ายผ่านไป พวกเขาก็วิงวอนขอให้นบียูนุส กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้มาชี้นำพวกเขา ในเวลานั้น นบียูนุสได้ขึ้นเรือเล็กๆ ลำหนึ่งไปแล้ว พร้อมกับผู้โดยสารอีกจำนวนหนึ่ง เรือลำนั้นแล่นออกสู่ท้องทะเล อันสงบตลอดทั้งวัน แต่พอกลางคืน ทะเลก็เปลี่ยนแปลง อย่างกะทันหัน พายุร้ายได้หันกระหน่ำ ราวกับว่ามันกำลังจะทำลายเรือ ให้แตกออกเป็นชิ้นๆ คลื่นทะเลที่สูงดังภูเขา และลึกเหมือนหุบเขา ได้โยนเรือลำน้อยไปมา อยู่กลางทะเล ที่โหดร้ายดูน่าร้าย ขณะเดียวกัน ด้านหลังของเรือก็มีปลาวาฬขนาดมหึมาตัวหนึ่ง กำลังพ่นน้ำและอ้าปากอยู่ อัลเลาะฮ์ได้ทรงบัญชาให้ปลาวาฬนั้น โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ และตามเรือลำนั้นไป ปลาวาฬตัวนั้นจึงโผล่มาเหนือน้ำตามบัญชา และว่ายน้ำตามเรือ ไปด้วยความเชื่อฟังความโกลาหลบนเรือ ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป และผู้คุมเรือ ได้ขอให้ผู้ที่อยู่บนเรือ ช่วยกันทำให้เบาลง ดังนั้น พวกเขาได้โยนสิ่งของ ที่นำมาทั้งหมด ลงทะเลไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พอ พวกเขาจำเป็นต้องลดน้ำหนัก ของเรือลงอีก เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตัดสินใจกันเองว่า จำเป็นให้ใครคนหนึ่ง ออกจากเรือไป เพื่อที่เรือจะได้เบาลงกัปตันเรือได้ออกคำสั่งว่า “เราจะเสี่ยงทาย โดยใช้ชื่อของคน ที่อยู่บนเรือ ถ้าเสี่ยงทายได้ชื่อของใคร คนนั้นจะต้องถูกโยนลงทะเลไป” นบียูนุสรู้ว่า นี่เป็นประเพณีของคนเดินเรือ เมื่อต้องเผชิญภาวะวิกฤต กลางท้องทะเล มันเป็นประเพณีของลัทธิบูชาเทวรูป แต่มันถูกนำมาใช้ในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ วิกฤตของนบียูนุส จึงเริ่มขึ้น ท่านเป็นนบี แต่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎ ของลัทธิเชื่อถือโชคลาง ของผู้บูชาเทวรูป ที่ว่าทะเล และ ลม มีเทพเจ้าที่สร้างความปั่นป่วน กัปตันเรือต้องเอาใจเทพเจ้าเหล่านี้ นบียูนุสไม่อยากที่จะเข้าไปร่วม ในการเสี่ยงทายนี้ แต่ชื่อของท่านก็ได้ถูกรวม ไว้กับชื่อของผู้โดยสารท่านอื่นๆ แล้ว และเมื่อมีการเสี่ยงทาย ก็ได้ปรากฏว่าได้ชื่อของ “ยูนุส” ขึ้นมา เนื่องจากผู้โดยสารรู้ว่า ท่านเป็นผู้มีเกียรติสูงสุด ในหมู่พวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อยากที่จะโยนท่าน ลงไปในทะ?

นบีอาดัม (Nabi Adam)

นบีอาดัม (Nabi Adam) เป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจากดิน ตามคติของศาสนาอับราฮัม และยังเป็นศาสดาองค์แรกของพระอัลเลาะฮ์ด้วย

บุคคลสำคัญของศาสนาอิสลามที่มีบทบาทในการเผยแพร่ศาสนาในฐานะองค์ศาสดา หรือ นบี มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ตามหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานได้ระบุชื่อนบีไว้จำนวน 25 คน โดยมีมุฮัมมัดเป็นนบีองค์สุดท้าย ซึ่งสามารถอธิบายได้ ดังนี้ (ฮัจญีอิสมาอีล อานนท์ เพ็ญพันธ์, 2560)

(1) นบีอาดัม (Nabi Adam) เป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจากดิน ตามคติของศาสนาอับราฮัม และยังเป็นศาสดาองค์แรกของพระอัลเลาะฮ์ด้วย

(2) นบีดรีส (Nabi Idris) มีพระนามเดิมว่า ฮูรมุส ท่านเกิดที่ประเทศอียิปต์ เป็นผู้มีความศรัธาต่อนบีอาดัม และได้ห้ามประชาชนของท่านมิให้ละเมิดต่อคำสั่งสอนที่นบีอาดัมได้เคยประกาศไว้ในยุคแรก แต่ก็มีเพียงประชาชนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เชื่อฟัง สุดท้ายท่านจึงได้เดินทางออกจากเมืองเพื่อให้หลุดพ้นจากสังคมคนบาป ไปพบกับดินแดนแห่งใหม่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่า โดยเชื่อว่าเป้นสถานที่ที่อัลเลาะฮ์เป็นผู้ประทาน เรียกว่า “บาบิยูน” ตั้งอยู่บริเวณที่ราบใกล้แม่น้ำไนล์ รวมทั้งได้สั่งสอนประชาชนที่ได้อพยพตามท่านว่า ให้ทุกคนมีความยึดมั่นภักดีต่ออังเลาะฮ์องค์เดียว และเนื่องจากประชาชนของท่านมีหลายเชื้อชาติและหลายภาษาที่แตกต่างกันมากกว่า 70 ภาษา อังเลาะฮ์จึงบันดาลพรให้ท่านนบีดรีสสามารถเข้าใจและสื่อสารได้ทุกภาษา เพื่อเผยแพร่งานศาสนา

(3) นบีนูฮ (Nabi Nuh) เป็นลูกหลานคนหนึ่งของนบีอาดัม เกิดที่เมืองโมซุล ประเทศอิรัก โดยในช่วงเวลานั้นบรรดาลูกลหายของท่านนบีอาดัมเริ่มมีความศรัธากลุ่มและเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่แตกต่างจากคำสอนของอัลเลาะฮ์ อัลเลาะฮ์จึงได้ทรงแต่งตั้งนบีนูฮให้ทำหน้าที่คอยว่ากล่าวตักเตือนมนุษย์ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ มิเช่นนั้นแล้วจะถูกลงโทษได้ ชาวมุสลิมต่างรู้จักนบีนูฮในการเป็นแบบอย่างของศาสดาที่ดี มีความอดทน และศรัธาต่ออัลเลาะห์เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าประชาชนทั่วไปจะดื้อดึงต่อคำสอนของอัลเลาะฮ์เพียงใด ท่านก็ได้ใช้ความอดทนและเวลาในการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนต่างๆ เหล่านั้น

(4) นบีฮูด (Nabi Hood) อาศัยอยู่ในเมือง อิรอม กับกลุ่มชนที่มีชื่อว่า ชาวอ๊าด ในสมัยนั้น กลุ่มชนดังกล่าวได้สักการะเทวรูป ตามความเชื่อที่ว่า เทวรูปต่างๆ เหล่านั้นจะบันดาลพรทำให้พวกเขาสมหวัง และปกป้องพวกเขาจากภัยอันตรายต่างๆ ได้ นบีฮูดจึงได้รับการบรรชาจากอัลเลาะห์ให้มากล่าวตักเตือนชาวอ๊าดให้ศรัธาและนับถือในพระเจ้าองค์เดียว คือ อัลเลาะฮ์ โดยให้เชื่อว่า มีเพียงอัลเลาะห์องค์เดียวเท่านั้น ที่จะปกป้องพวกท่านให้พ้นจากภัยอันตรายต่างๆ ได้ นบีฮูดจึงได้พยายามทำให้ชาวอ๊าดเข้าใจ และหันกลับมาศรัธาในอัลเลาะฮ์ ซึ่งได้อธิบายว่า เทพเจ้าต่างๆ ที่ท่านได้สักการบูชานั้น เป็นเหตุผลที่จะทำให้พวกท่านถูกทำลาย และได้รับความเดือดร้อน มีเพียงอัลเลาะฮ์องค์เดียวเท่านั้นที่จะช่วยพวกท่านได้ อย่างไรก็ตาม การตักเตือนดังกล่าว ก็ได้สร้างความขัดแย้งกับความศรัธาของชาวอ๊าด จนทำให้ชาวอ๊าดเริ่มมีความโอหัง ดื้อรั้น และฝ่าฝืนต่อคำสอนของอัลเลาะฮ์มากขึ้น จนในที่สุดชาวอ๊าดจึงชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และมีเพียงผู้ที่ศรัธาต่ออัลเลาะฮ์เท่านั้นมีปลอดภัย

(5) นบีซอลิฮ์ (Nabi Saleh) เป็นบุตรของอุบัยด์ บินญาบิร บินษะมูด เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด ความบริสุทธิ์ และความดี จึงมีผู้ที่ให้ความเคารพนับถือเป้นอย่างมาก อัลเลาะฮ์ได้มอบหมายให้นบีซอลิฮ์เรียกร้องผู้คยของเขาให้หันมาศรัธาอัลเลาะฮ์แต่เพียงผู้เดียว และไม่เอาสิ่งใดมาเป็นภาคีร่วมกันกับพระองค์ แต่ก็มีเพียงประชาชนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เชื่อ และยังมีประชาชนอีกส่วนหนึ่งที่ต่อต้าน

(6) นบีอิบรอฮีม (Nabi Ibrahim) หรืออับบราฮัม เกิดเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1900 เมืองอูร์ หรือประเทศอิรักในปัจจุบัน บิดามีนามว่า อาซัร เป็นหัวหน้านักบวช นบีอิบรอฮีมเป็นผู้ที่มีความฉลาด ช่างคิด ช่างสังเกต เมื่อเห็นผู้คนพากันเคารพสักการบูชาเทวรูปหิน จึงต้องข้อสังเกตว่า เทวรูปเหล่านั้นใช่พระเจ้าจริงๆ หรือไม่ เมื่อพระอัลเลาะฮ์เห็นดังนั้น จึงได้ทรงบอมคัมภีร์ให้เล่มหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีเนื้อความเกี่ยวกับมารยาท ข้อคิด และคติสอนใจต่างๆ เพื่อสอนนบีอิบรอฮีม และบ่าวที่คอยปฏิบัติตาม นบีอิบรอฮีมจึงเริ่มศรัทธาอัลเลาะฮ์ และคอยแสวงหาความดีจะพระองค์เสมอมา

(7) นบีลูฏ (Nabi Looz) เป็นหลานของนบีอิบรอฮีม และเป็นผู้ที่มีความศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์ ซึ่งในเวลาต่อมาอิบรอฮีมได้เดินทางออกจากประเทศอียิปต์ พร้อมกับลูฏ ไปยังเมืองสะดูม บนฝั่งตะวันตกของทะเลตาย (Dead Sea) ที่เต็มไปด้วยความชั่วช้า มีผู้คนคอยดักปล้นและเข่นฆ่าอยู่เป็นจำนวนมาก โดยความชั่วร้ายอีกอย่างหนึ่ง ที่ถือได้ว่าเป้นสิ่งปกติของคนในเมืองนี้ คือ การที่ผู้ชายมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน หรือ “รักร่วมเพศ” ซึ่งเป็นการกระทำอย่างเปิดเผย ไร้ซึ่งความละอายแก่บาป ในช่วงเวลาที่ความชั่วร้ายและอาชญากรรมกำลังแพร่หลาย อัลเลาะฮ์จึงดลบันดาลใจให้ลูฏเรียกร้องให้ประชาชนละทิ้งพฤติกรรมดังกล่าวที่ไม่เหมาะสม แต่ประชาชนกลับปฏิเสธ พร้อมทั้งขับไล่ลูฏให้ออกไปจากเมือง หากยังไม่หยุดพฤติกรรมดังกล่าว

(8) นบีอิสมาอีล (Nabi Ismaill) เกิดที่ประเทศอิรัก หรืออาณาจักรบาบิโลนในอดีต เป็นบุตรของนบีอิบรอฮีม ซึ่งต่อมานบีอิบรอฮีมได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมักกะห์ เมื่อมาถึงมักกะห์ พักลงที่กะอะบะห์ นบีอิสมาอีลร้องไห้เพราะความหิวน้ำ นางฮาญัรผู้เป็นแม่ ก็ออกเดินเสาะหาแหล่งน้ำ ระหว่างเขาศอฟากับเขามัรวะห์ นบีอิสมาอีลก็ร้องเสียงดังขึ่นดังขึ้น นางฮาญัรก็รีบวิ่งรีบก้าวจ้ำเสาะหาแหล่งน้ำ แต่มาพบเลยสักที่ จนนบีอิสมาอีลร้องไห้แล้วตีนถีบคุ้ยทรายออกเป็นหลุมเป็นวงใหญ่ขึ้น นางฮาญัรก็วิ่งกลับมาหานบีอิสมาอีลเพื่อจะมาปลอบใจ แต่กลับได้เห็นแอ่งน้ำซึมขึ้นมาจากผืนทราย นางจึงคุ้ยทรายป้องขึ้นเป็นแอ่งเล็กๆ ได้น้ำให้นบีอิสมาอีลดื่มกิน และบ่อน้ำนั้นก็เป็นบ่อน้ำดื่มที่ ชื่อ “ซัม ซัม” มาตลอดจนทุกวันนี้ หลายพันปี ไม่เคยเหือดแห้ง ปัจจุบันทางการซาอุดิอาราเบีย ปิดทางเข้าบ่อน้ำซัมซัมไปแล้ว ด้วยสาเหตว่า ผู้คนจะลงไปใช้กันแล้วสกปรก และปริมาณผู้คนมากมายในสมัยนี้ไม่เพียงพอต่อการใช้ของชาวฮุจญาจ 2-3ล้านคนในช่วงเทศกาล ฮัจญ์ จึงใช้วิธีสูบขึ้นมาด้วยปั้มน้ำพลังสูง บรรจุใส่ขวดพลาสติก และเติมใส่ถังน้ำดื่มเรียงรายไว้ในมัสญิดหะรอมทุกๆ 20 เมตร จะมีถังน้ำดื่มวางไว้กลุ่มละ 6-7 ถัง มีแก้วพลาสติกให้ใช้ดื่มแล้วทิ้ง แจกจ่ายให้ชาวฮุจญาจในมักกะห์ และจัดส่งใส่ถังไปนครมะดีนะห์ด้วย
นบีอิบรอฮีมได้ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่บริเวณกะอะบะห์นั้น แล้วก็ปฏิสังขรณ์กะอะบะห์ขึ้นมาใหม่ หลังจากนบีอาดัมจากไป ไม่มีใครมาใช้ (สร้างโดยมลาอิกะห์) นบีอิบรอฮีมก็อาศัยอยู่กินที่มักกะห์มาเรื่อยจนกระทั่งนบีอิสมาอีลโตเป็นหนุ่มแล้ว ท่านนบีอิบรอฮีมฝันว่า อัลเลาะฮ์ขอร้องให้นบีอิบรอฮีมเชือดนบีอิสมาอีลพลีเพื่อพระองค์ เช้ามาท่านนบีอิบรอฮีมก็มาเล่าให้นบีอิสมาอีลฟัง นบีอิสมาอีลฟังแล้วก็ตอบผู้เป็นบิดาไปว่า “ในเมื่อเป็นความประสงค์ของอัลเลาะฮ์ ขอให้ท่านบิดาจงทำตามประสงค์ เพื่อสนองพระองค์เถิด” จนมาถึงวันที่นบีอิบรอฮีมนำนบีอิสมาอีล มาที่ที่จะทำการเชือด (ที่ทุ่งมีนา) ชัยฏอนมารร้ายได้มายุยงว่า “ลูกของท่าน ท่านจะมาเชือดพลีเพื่ออะไรกัน ไม่ต้องทำการสนองประสงค์อัลเลาะฮ์หรอก” ท่านนบีอิบรอฮีมก็หยิบก้อนหินขว้างปา ไล่ชัยฏอนไป พอนบีอิบรอฮีมเดินมาจะทำการเชือดอีก ชัยฏอนมันก็โผล่มาอีก มายุยงว่า “ลูกของท่าน ท่านจะมาเชือดพลีเพื่ออะไรกัน ไม่ต้องทำการสนองประสงค์อัลเลาะฮ์หรอก” ท่านนบีอิบรอฮีมก็หยิบก้อนหินขว้างปา ไล่ชัยฏอนไปอีก พอจะเชือดอีกเป็นครั้งที่ 3 ไอ้ชัยฏอนมารร้ายตัวพ่อมายุยงว่า “ลูกของท่าน ท่านจะมาเชือดพลีเพื่ออะไรกัน ไม่ต้องทำการสนองประสงค์อัลเลาะฮ์หรอก” ท่านนบีอิบรอฮีมก็หยิบก้อนหินขว้างปา ไล่ชัยฏอนไปไกล แล้วมันก็หายลับไป ท่านนบีอิบรอฮีมก็ลงมือเชือด ทันใดนั้นอัลเลาะฮ์เห็นแล้วว่านบีอิบรอฮีมศรัทธามั่นต่อพระองค์ พระองค์จึงเปลี่ยนตัวจากนบีอิสมาอีลมาเป็นแกะตัวอ้วนพลี ท่านนบีอิบรอฮีมจึง สรรเสริญอัลเลาะฮ์ว่าพระองค์เป็นผู้เมตตา เป็นผู้เพียงพอ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นตำนานการเชือดกุรบ่านอีกด้วย
นบีอิบรอฮีมได้ขอดุอาอ์ว่า โอ้พระผู้ภิบาลของฉัน ได้ทรงโปรดทำเมืองนี้ให้เป็นที่ปลอดภัยและได้ทรงโปรดประทานผลไม้นานาชนิดแก่ชาวเมืองผู้ศรัทธาในอัลเลาะฮ์และวันสุดท้ายด้วยเถิด พระองค์จึงได้ตอบว่า สำหรับบรรดาผู้ปฎิเสธนั้น พระองค์ก็จะให้ริสกีและสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในโลกนี้แก่พวกเขา และความปลอดภัยพวกเขาด้วย ส่วนในโลกหน้า พระองค์จะส่งเขาไปสู่การลงโทษในไฟนรก ขอพระองค์ได้ทรงแสดงให้เรารู้ถึงการปฎิบัติศาสนกิจของเราและได้ทรงอภัยโทษแก่เราแน่แท้ พระองค์ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นคุณโยชน์มากมายที่พวกเขาจะได้รับและเพื่อพวกเราจะได้กล่าวคำรำลึกถึงพระนามของอัลเลาะฮ์ในวันทุกๆ วัน

(9) นบีอิสฮาก (Nabi Ishaq) คัมภีร์กุรอานไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของนบีอิสฮากไว้มากนัก แต่นักอรรถาธิบายคัมภีร์กุรอานผู้น่าเชื่อถือได้กล่าวว่า เมื่อนบีอิบรอฮีมรู้สึกว่าชีวิตของตนกำลังใกล้วันสิ้นสุดเข้ามาทุกที เขาอยากที่จะเห็นอิสฮากได้แต่งงาน เขาไม่ต้องการให้อิสฮาก แต่งงานกับหญิงชาวคะนาอัน ที่เคารพบูชารูปปั้น ดังนั้น เขาจึงได้ส่งคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งไปยังฮารานในอิรักเพื่อเลือกเจ้าสาวให้อิสฮาก ปรากฏว่าคนรับใช้ได้ไปเลือก ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อรีเบคาห์ บินติ เบซูเอล อิบนุนาฮอร์ ที่เป็นพี่น้องคนหนึ่งของนบีอิบรอฮีม อิสฮากได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้และนางได้ให้กำเนิดแฝดคู่หนึ่งคือ อัลอีซ (อีเซา) และยะอฺกู๊บ (ยาโกบ Jacob)

(10) นบียะอ์กูบ (Nabi Yaacub) ยะอฺกู๊บเป็นลูกของนบีอิสฮากและเป็นนบีคนหนึ่ง ท่านมีฉายานามว่า อิสรออีล ซึ่งมีความหมายว่า บ่าวของอัลเลาะฮ์ มีภรรยาชื่อ รีเบคาห์ เนื้อเรื่องของท่านนบียะอฺกู๊บ หรือยาโคบ  ที่อัลกุรอานกล่าวถึงนั้นก็ยังคงเน้นตามหลักจุดมุ่งหมายเดิม ที่สะท้อนถึงการ เทิดพระเกียรติ์ของอัลเลาะฮ์พระเจ้าองค์เดียว ที่ประทานทางนำจากพระองค์มาสู่มนุษย์อย่างเด่นชัด ยะอฺกู๊บได้ออกจากครอบครัวของเขาไป เมื่อตกกลางคืน เขาก็ได้พบสถานที่พักผ่อนแห่งหนึ่ง เขาได้เอาหินมาหนุนหัวและนอนหลับไป เขาได้ฝันเห็นมีบันไดจากสวรรค์ลงมายังโลกโดยมีมลาอิกะห์กำลังขึ้นลงอยู่ และพระเจ้าได้ตรัสกับเขาว่า “ฉันจะให้พรเจ้าและลูกหลานของเจ้าและทำให้แผ่นดินนี้เป็นของเจ้าและของผู้ที่จะมาหลังจากเจ้า”
เมื่อเขาตื่นขึ้น เขามีความสุขจากสิ่งที่เขาเห็นในความฝันและสาบานว่าถ้าเขากลับมาถึงครอบครัวของเขาอย่างปลอดภัย เขาจะสร้างวิหารแห่งหนึ่งที่นี่เพื่ออัลเลาะฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ นอกจากนี้แล้วเขายังได้สาบานที่จะให้ทรัพย์สินหนึ่งในสิบของเขาเพื่ออัลเลาะฮ์ เขาเทน้ำมันลงบนก้อนหินเพื่อเป็นสัญลักษณ์และเรียกสถานที่แห่งนั้นว่า “เบเธล” (บ้านของอัยล์ส) ซึ่งหมายถึง “บ้านของอัลเลาะฮ์” ต่อมาสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของเมืองเยรูซาเล็ม
นบียะอฺกู๊บมีลูกชาย 12 คนและจากลูกชาย 12 คนคนนี้ได้ก่อให้เกิดลูกหลานอีกมากมาย ลูกหลานของนบียะอฺกู๊บจึงถูกเรียกว่า บะนีอิสรออีล (แปลว่า ลูกหลานของอิสรออีล) ยูซุฟเป็นลูกชายคนหนึ่งของนบียะอฺกู๊บและมีน้องชายร่วมแม่เดียวกันคนหนึ่งชื่อบินยามีน ขณะนั้นดินแดนนี้ (เยรูซาเล็ม) มีชาวฟิลิตินมาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่ได้รับอิสลามตามนบีอิรอฮีม

(11) นบียูซุฟ (Nabi Yusuf) นบียูซุฟเป็นลูกชายคนหนึ่งของนบียะอฺกู๊บและมีน้องชายร่วมแม่เดียวกันคนหนึ่งชื่อบินยามีน ในตอนเป็นเด็ก ยุซุฟเป็นดีและน่ารัก ด้วยเหตุนี้เอง พี่ๆ ของยูซุฟจึงรู้สึกอิจฉาที่พ่อของพวกตนรักยูซุฟมาก วันนี้ยูซุฟได้มาหาพ่อแม่ของเขาและกล่าวว่า  พ่อครับ เมื่อคืนนี้ผมฝันเห็นดาวสิบเอ็ดดวง เมือฟ้งสิ่งที่ยูซุฟเล่า นบียะอฺกู๊บก็รู้ว่าดวงอาทิตย์ในความฝันของยูซุฟก็คือตัวท่านนั่นเอง ส่วนดวงจันทร์ก็คือภรรยาของท่าน และดวงดาวอีกสิบเอ็ดดวงนั้นคือพี่น้องของยูซุฟนบียะอฺกู๊บรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า อัลเลาะฮ์จะเหลือยูซุฟให้เป็นนบีและจะประทานสติปัญญาแก่ยูซุฟเพือทำหน้าที่ที่เผยแผ่อิสลามเหมือนกับท่านและพ่อกับปู่ของท่านคือนบีอิสฮากและนบีอิบรอฮีม พวกพี่ๆ ของยูซุฟก็พายูซุฟมายังบ่อน้ำแห่งหนึ่ง และทุกคนก็ได้ร่วมกันจับยูซุฟโยนลงไปในบ่อน้ำ ขณะที่ยูซุฟอยู่ในบ่อน้ำ อัลเลาะฮ์ได้บอกแก่ยูซุฟว่า วันหนึ่งข้างหน้า เจ้าจะได้มีโอกาสเตือนพวกเขาให้ถึงการกระทำดังกล่าว
ต่อมาได้มีกองคาราวานขบวนพ่อค้ากลุ่มหนึ่งผ่านมาและแวะพักใกล้บ่อน้ำเพื่อตักน้ำขึ้นมาดื่มและนำไปเป็นเสบียง บังเอิญผู้คนในกองคารวานพบเห็นยูซุฟในบ่อน้ำนั้น จึงช่วยกันนำตัวยูซุฟขึ้นมาจากบ่อและนำตัวเขาไปขายให้กษัตริย์ในอียิปต์ในราคาไม่มากนัก เพราะยูซุฟยังเป็นเด็กอยู่ และยูซุฟเป็นเด็กน่ารัก กษัตริย์ผู้ซื้อตัวยูซุฟไปจึงบอกแก่ภรรยาของเขาว่า เธอจงเลี้ยงเขาให้ดี ด้วยความช่วยเหลือของอัลเลาะฮ์ ยูซุฟจึงรอดชีวิตมาได้และยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี หลังจากที่เวลาผ่านไปได้หลายปี ยูซุฟก็เติบโตเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตางดงามจนเป็นที่หลงใหลของนางสุไลคอภรรยาของกษัตริย์ที่ซื้อเขามาเลี้ยง นางจึงหาทางยั่วยวนชวนให้ยูซุฟมีความสัมพันธ์กับนาง ยูซุฟจึงได้กล่าวว่า ขออัลเลาะฮ์ทรงคุ้มครองฉันจากสิ่งนี้ด้วยเถิด โอ้พระอภิบาลของฉันพระองค์ได้ทรงให้ที่พำนักที่ดีแก่ฉันแล้ว เมื่อท่านนบียูซุฟปฏิเสธนาง นางสุไลคอภรรยาของกษัตริย์ ก็วางอุบายให้ยูซุฟเข้าคุก ถึงแม้ยูซุฟไม่ได้ทำอะไรเลย ขณะที่อยู่ในคุก  นบียูซุฟอายุได้มาณ 20 ปีแล้ว และที่นั่นเองนบียูซุฟก็ได้รู้จักผู้ถูกจำขังคุกอีกสองคน วันหนึ่ง ขณะที่นบียูซุฟพูดคุยกับคนทั้งสอง คนหนึ่งได้กล่าวกับนบียูซุฟว่า ฉันฝันเห็นว่าฉันกำลังคั้นเหล้าองุ่นอยู่  อีกคนหนึ่งก็กล่าวว่า ฉันก็ฝันเห็นตัวเองกำลังแบกขนมปังอยู่บนหัวและมีนกมาจิกกิน ช่วยทำนายฝันให้เราหน่อยเถอะยูซุฟ เพราะเราเห็นท่านเป็นคนดี  นบียูซุฟได้ตอบว่า เอาเถอะฉันจะทำยนายฝันให้ทั้งสองก่อนอาหาร และกล่าวว่าเราไม่เคารพสักการะสิ่งใดเป็นพระเจ้าร่วมกับอัลเลาะฮ์ นี่คือความโปรปรานของอัลเลาะฮ์ ที่ทรงมีต่อเราและมนุษยชาติ  แต่ว่ามนษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้คุณ พระองค์ได้ทรงบัญชาพวกท่านว่าจงอย่าเคารพสักการะสิ่งใดนอกจากพระองค์  นี่คือแนวทางที่ถูกต้องและเที่ยงตรงที่สุด  อัลเลาะฮ์ได้ทรงกำหนดเอาไว้แล้ว  
หลังจากนั้น นบียูซุฟได้กล่าวว่า กับคนที่จะถูกปล่อยตัวว่า หากมีโอกาสขอท่านได้เอ่ยถึงฉันให้เจ้านายของท่านได้รู้ด้วยบ้างก็แล้วกัน คืนหนึ่ง กษัตริย์อียิปต์ได้ฝันเห็นวัวอ้วนเจ็ดตัวกำลังถูกวัวผอมเจ็ดตัวกินขณะนั้น หมอดูหลายคน ทำนายทายทักไม่ถูกใจกษัตริย์ ปุโรหิตที่เคยติดคุกร่วมกับยูซุฟนึกขึ้นได้ว่ายูซุฟทำนายทายทักฝันได้ใกล้เคียงมาก จึงแนะนำกษัตริย์ให้นำยูซุฟจากในคุกมาทำการทำนายฝัน กษัตริย์ก็สั่งให้คนไปนำยูซุฟมาเฝ้าและทำนายฝัน นบียูซุฟจึงกล่าวว่า นับแต่นี้ไปพวกท่านจะไถหว่านแผ่นดินต่อเนี่องกันไปได้เจ็ดปี ดังนั้น จงเก็บเกี่ยวข้าวและพืชพันธุ์ธัญญหาร มานวดเอาเมล็ดมาแค่จำนวนที่พอกิน  ส่วนที่เหลือนั้นปล่อยไว้ให้มันติดอยู่กับรวงและเก็บสำรองไว้  อย่าได้นำมากิน  เพราะหลังจากเจ็ดปีนี้นั้นแผ่นดินจะแห้งแล้วต่อเนื่องกับเป็นเวลาเจ็ดปี หลังจากนั้นก็จะมีปีหนึ่งซึ่งฝนตกชุกเพราะคำวิงวอนของผู้คน และพวกเขาก็จะได้น้ำผลไม้ไว้คื่มกิน กษัตริย์ดีใจมากที่ยูซุฟทำนายทายทักได้ข้อคิดที่ดีมากๆ จึงไตร่สวนว่าเหตุใดจึงติดคุก นบียูซุฟก็กล่าวว่า เพราะนางสุไลคอนำท่านไปติดคุก ในวันที่นางมีเพื่อนมาชุมนุมกัน กษัตริย์จึงได้สั่งให้เรียกนางสุไลคอและบรรดาแขกผู้หญิงที่นางสุไลคอเชิญมาในวันนั้นมาไต่สวนต่อหน้าข้าราชบริพารอย่างเปิดเผย  เมื่อพวกผู้หญิงยืนยันเช่นนั้นว่า นางสุไลคอยั่วยวนยูซุฟ แต่ยูซุฟไม่ตอบสนองนางสุไลคอ นางจึงสั่งทหารมาจับเข้าคุก นางสุไลคอจำนนด้วยพยานหลายปาก จึงได้ออกมาสารภาพว่า เอาละ ฉันเองที่เป็นฝ่ายพยายามยั่วยวนปล้ำเขา  แต่เขาไม่ยอมทำผิด หลังจากไต่สวนเสร็จแล้ว กษัตริย์จึงได้มีบัญชาว่า จงนำตัวยูซุฟมาพบฉันเพื่อที่ฉันจะได้แต่งตั้งเขาให้เป็นคนสนิทของฉัน เมื่อนบียูซุฟถูกนำตัวมาเข้าเฝ้า ให้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องเสบียงอาหาร และในช่วงเวลาแห้งแล้ง ไม่มีฝนตกบริเวณนั้น ชาวเมืองชามบางกลุ่มต้องไปอาศัยขอความอนุเคราะห์จากประเทศอียิปต์ พี่น้องของนะบียูซุฟ ไปประเทศอียิปต์เพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งผู้ที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังคือท่านนบียูซุฟ พวกพี่น้องท่านนบียูซุฟจึงขออภัยท่านนบียูซุฟว่าพวกเขาทำตัวต้อยต่ำมาขอความช่วยเหลือจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่นบียูซุฟไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอันใด แล้วท่านหาโอกาสไปเชิญบิดา (นบียะอฺกู๊บ) มารดา และพี่น้องของเขาอพยพมาอยู่ที่เมืองอียิปต์นี่
กษัตริย์ก็ได้บอกนบียูซุฟว่านับแต่นี้เป็นตันไป เจ้ารับแต่งตั้งให้เป็นคนสนิทของเรา และเราจะมอบความไว้วางใจให้เจ้าดูแลแผ่นดินของเราอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เองที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงทำให้นบียูซุฟมีอำนาจในแผ่นดิน ท่านมีสิทธิ์ทุกอย่างเต็มที่ที่จะเป็นเจ้าของสิ่งใดก็ได้ที่ท่านต้องการในแผ่นดินอียิปต์  หลังจากนั้นครอบครัวของนบียะอฺกู๊บทั้งหมดก็ออกเดินทางจากดินแดนคะนาอันสู่อียิปต์เพือไปพำนักกับนบียูซุฟตลอดไป
ประวัติศาสตร์บอกไว้เพียงว่า นบียะอฺกุ๊บและภรรยา (พ่อแม่นบียูซุฟ) อพยพไปหานบียูซุฟที่อิยิปต์แล้วกลับไปคะนาอันอีกหรือไม่ ดูจากเหตุการณ์นบียูซุฟอยู่ปกครองดินแดนอิยิปต์นบียะอฺกู๊บก็น่าจะอยู่ที่อิยิปต์ต่อไป และดำรงไว้ซึ่งศาสนาอิสลามตามท่านนบีอิบรอฮีมผู้เป็นปู่ คือ มีพระเจ้าองค์เดียว

(12) นบีซุลกิฟล์ (Nabi Zulkifli) หนึ่งในบรรดาศาสดาที่ถูกกล่าวถึงในกุรอาน คือ ท่านศาสดาซุลกิฟล์ ชื่อท่านถูกกล่าวถึง 2 ครั้งด้วยกัน ในโองการที่ 85 ซูเราะฮ์ อัมบิยาอ์ กล่าวว่า จงรำลึกถึงเรื่องราวของอิสมาอีลและอิดรีส และซัลกิฟลิ แต่ละคนอยุ่ในหมู่ผู้อดทนขันติ และในอายะฮ์ที่ 48 ซูเราะฮ์ ศอด ที่กล่าวว่า จงรำลึกถึงอิสมาอีล และอัลยะซะอฺ และซัลกิฟลิ และทุกคนอยู่ในหมู่ผู้ดีเลิศ เรื่องราวเกี่ยวกับท่านศาสดา ซุลกิฟล์ นักวิชาการมีทัศนะที่แตกต่างกันออกไป แต่ประเด็นที่เป็นที่บรรดานักวิชาการยอมรับกันทั้งหมดคือ ท่านศาสดา ซุลกิฟล์ เป็นศาสนทูตของอัลเลาะฮ์ ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าชื่อของท่านถูกกล่าวไว้ในกุรอานถึงสองครั้งด้วยกัน ตามรายงานหะดีษกล่าวว่า ท่านศาสดาซุลกิฟล์ เป็นบุตรของท่านศาสดา อัยยูบ ซึ่งชื่อเดิมของท่านคือ บาชีร อิบนิ อัยยูบ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย ท่านมีอายุ 95 ปี

(13) นบีอัยยูบ (Nabi Ayub) ท่านนบีอัยยูบ อาลัยฮิสลาม นั้นมีลูกหลาน ทรัพย์สินเงินทอง ปศุสัตว์ และเรือกสวนไร่นามากมาย หลังจากนั้นอัลเลาะฮ์ได้ทรงทดสอบท่านด้วยสิ่งดังกล่าวนี้ทั้งหมด โดยพระองค์ทรงให้ทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้นไป ต่อมาพระองค์ทดสอบท่านด้วยโรคเรื้อนที่ลุกลามไปทั่วร่างกายของท่าน ไม่มีอวัยวะส่วนใดเลยที่ไม่เป็นโรค นอกจากหัวใจและลิ้นที่ท่านใช้มันในการซิกุรุลลอฮฺเท่านั้น จนกระทั่งมิตรสหายต่างพากันรังเกียจและออกห่าง ท่านจึงถูกโดดเดี่ยวอยู่ในมุมหนึ่งของเมือง ไม่มีใครเหลียวแล นอกจากภรรยาของท่านที่คอยปรนนิบัติดูแลท่าน
แม้กระนั้นก็ตาม ท่านก็ยังอดทน แบกรับการทดสอบทางร่างกายด้วยจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง ไม่ปริปากร้องทุกข์ใดๆ ท่านนบีอัยยูบเจ็บปวดเป็นเวลานาน ภรรยาของท่านได้กล่าวกับท่านว่า โอ้อัยยูบเอ๋ย หากว่าท่านจะขอดุอาอ์ต่อพระเจ้าของท่าน ให้พระองค์ทำให้ท่านหายจากโรคร้ายนี้เสียที ท่านนบีอัยยูบจึงกล่าวว่า “ฉันนั้นมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข มีสุขภาพดีมา 70 ปี มันน้อยไปหรือที่ฉันจะอดทนเพื่อพระองค์ 70 ปี”
เมื่อตัวหนอนที่เกิดจากบาดแผลของท่านได้คืบคลานเข้าไปที่หัวใจและลิ้นของท่านซึ่งเป็นอวัยวะที่ท่านใช้ซิเกรและรู้จักอัลเลาะฮ์ตะอาลา ท่านจึงวิงวอนขอต่ออัลเลาะฮ์ด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ “แท้จริงฉันนั้น ความทุกข์ยากได้ประสบแก่ฉัน และพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงเมตตายิ่งในหมู่ผู้เมตตาทั้งหลาย” ด้วยเกรงว่าความบกพร่องจะเกิดขึ้นกับการทำ อิบาดะห์ของท่าน ซึ่งในคำวิงวอนของท่านมิได้มีกลิ่นอายของการเรียกร้องให้ร่างกายได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นอัลเลาะฮ์ตะอาลาจึงตอบรับคำวิงวอนอันบริสุทธิ์ใจโดยการตอบรับที่เหนือธรรมชาติ พระองค์ได้ทรงปลดเปลื้องความทุกข์ยากที่ท่านนบีอัยยูบได้แบกรับมาเป็นเวลานานออกไป ทรงคืนสุขภาพอันสมบูรณ์ให้แก่ท่าน และประทานความเมตตาอันมากมายและครอบคลุมให้แก่ท่าน
คำวิงวอนของท่านนบีอัยยูบนั้น เราสามารถนำมาเป็นบทเรียนเพื่อการขัดเกลาจิตใจและพยายามสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลาได้เป็นอย่างดี

(14) นบีมูซา (Nabi Moses) เป็นบุตรของอิมรอน สืบเชื้อสายมาจากลูกหลานของท่านนบีอิบรอฮีม ลูกหลานของอิสราอีลได้ถูกกดขี่จนกระทั่งต้องกลายเป็นทาสรับใช้ฟิรฺเอานฺ (ฟาโรห์ Faroah) ถึง 400 ปี ช่วงนั้นจะเรียกเชื้อสายอิสราเอลว่าฮิบรู จนกระทั่งนบีมูซา (โมเสส) (หรือโมเชซ์) ลูกชาวฮิบรูที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยฟิรเอานฺจนกลายเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ อียิปต์เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมของมนุษย์หลายพันปีมาแล้ว และมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาหลายราชวงศ์จนถึง สมัยของฟิรฺเอานฺ (ฟาโรห์ Faroah) ซึ่งเป็นยุคที่อียิปต์มีกษัตริย์ที่วางตนเป็นพระเจ้าเหนือชีวิตปวงประชาและบังคับให้พสกนิกรกราบไว้บูชาเขา

(15) นบีฮารูน (อาโรน) เรื่องราวเกี่ยวกับท่านนบีฮารูน ไม่ปรากฏรายละเอียดมากนัก จะพบชื่อนบีฮารูนคู่กับนบีมูซา สมัยโต้แย้งกับฟิรเอานฺ(ฟาโรห์) และร่วมอพยพกับบะนีอิสรออีล ไปกับนบีมูซา และร่วมปกครองบนีอิสรออีลจนวาระสุดท้ายของท่านนบีฮารูน และนบีมูซาอัลกุรอานไม่ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของท่านนบีมูซา

(16) นบีอิลยาส (Nabi IIyas) นบีอิลยาส เป็นนบีคนหนึ่งในปาเลสไตน์ มีชีวิตอยู่ในราว 870 ปี ก่อน ค.ศ. หลังนบีสุลัยมานราว 100 ปี ใช้คัมภีร์เตาร็อตของนบีมูซา เหมือนศาสนทูตคนก่อนๆ กษัตริย์ของอิสรออีล ในสมัยนั้นคือ อัคอาบ บุตรของกษัตริย์อมรี ซึ่งได้แต่งงานกับนางเอซาเบล เจ้าหญิงแห่งเฟนิเซีย เมื่อนางได้เป็นราชินี ก็มีอำนาจเหนือสามี บังคับให้สามีนับถือบูชาเทวรูปเหมือนตน และได้ก่อสร้างวิหารเพื่อประดิษฐานเทวรูป บะอัล ซึ่งเป็นที่บูชาของชาวเฟนิเซีย นอกจากนี้ยังสนับสนุนการผิดประเวณี และการทำอนาจารต่างๆ อย่างโจ่งแจ้ง บรรดาเหล่าผู้ทรงธรรมต่างๆ ในแผ่นดินที่ต่อต้านการกระทำอันชั่วร้ายนี้ ก็ถูกนางสั่งให้สังหารเป็นจำนวนมาก นบีอิลยาสจึงตักเตือนเหล่าอิสรออีลให้หยุดบูชารูปปั้น และหยุดทำความชั่ว เมื่อไม่สามารถที่จะยับยั้งได้ นบีอิลยาสจึงรวบรวมไพร่พล เพื่อต่อสู้กับพวกผู้นำของศาสนาบะอัล เมื่ออัคอาบตาย นางเอซาเบลก็ยังคงยืมอำนาจของ อะคาซียะห บุตรชายที่ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทนบิดา เมื่อ อะคาซียะห ถูกฆ่าตายในสงครามกับชนชาติอื่น นางก็ยังยืมอำนาจของ เยโฮรัม บุตรชายอีกคนที่ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทนพี่ชาย

(17) นบียูนุส (Nabi Yunus) นบียูนุส เป็นที่จักในฉายาว่า “ซุนนูน” อัลเลาะฮ์ได้ทรงกล่าว เกี่ยวกับผู้คนของท่านว่า “มีตัวอย่างของเมือง (ชุมชน) ใดบ้างไหม ที่เชื่อ (หลังจากได้เห็นการลงโทษ) และความศรัทธาของชุมชน (ในขณะนั้น) ได้ช่วยเหลือชุมชนนั้น ไว้ (จากการลงโทษ)  (คำตอบคือไม่มี) ยกเว้นแต่หมู่ชนของยูนุส เมื่อพวกเขาศรัทธา เราจึงได้ปลดเปลื้องการลงโทษ อันน่าอับอายออกไป จากพวกเขาในชีวิตโลกนี้ และได้ให้พวกเขาใช้ปัจจัยทั้งหลายแห่งชีวิตชั่วเวลาหนึ่ง”
ครั้งหนึ่ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนิเนเวห์ เป็นผู้บูชาเทวรูปที่ใช้ชีวิต โดยไม่มีความละอาย ดังนั้น นบียูนุสจึงได้ถูกลงมา สอนผู้คนเหล่านั้น ให้หันมาเคารพสักการะอัลเลาะฮ์ แต่ผู้คนไม่ชอบให้เขา ไปก้าวก่ายการเคารพสักการะเทวรูปของตน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงโต้แย้งว่า “เราและบรรพบุรุษ เคารพกราบไหว้พระเจ้าเหล่านี้ มาเป็นเวลานานแล้ว และไม่เห็นมีโทษอะไร เกิดขึ้นกับเรา” ถึงแม้นบียูนุส พยายามจะชี้ให้เห็นว่า การเคารพกราบไหว้เทวรูปต่างๆ เป็นเรื่องเขลา งมงาย และคำสั่งสอนของอัลเลาะฮ์ เป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ผู้คนก็ไม่สนใจท่าน การลงโทษของอัลเลาะฮ์ก็จะมายังพวกเขา แต่แทนที่จะกลัวอัลเลาะฮ์  ผู้คนได้บอกนบียูนุสว่า พวกเขาไม่กลัวคำข่มขู่ของท่าน ท่านนบียูนุสกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะปล่อยให้พวกท่าน ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนกันเอง”
หลังจากนั้น ท่านก็ออกจากเมืองนิเนเวห์ ไปด้วยความกลัวอัลเลาะฮ์จะทรงกริ้ว ในไม่ช้านี้ เมื่อเขาหนีไปด้วยความโกรธ เพราะเขาคิดว่า เราจะไม่เอาความผิดเขา แต่หลังจากนั้น เขาก็วิงวอนต่อเรา จากท่ามกลางความมืด โดยกล่าว ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ แท้จริง ฉันอยู่ในหมู่ผู้ทำผิด แต่ยังไม่ทันที่นบียูนุสออกไปจากเมือง ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี ที่เหมือนไฟกำลังไหม้ ผู้คนต่างพากันตกใจกลัว เมื่อเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสีเช่นนั้น และนึกถึงการถูกทำลายของชาวอ๊าด ชาวษะมูดและผู้คนของนูฮ์ หลายคนถามตัวเองว่า จะประสบชะตากรรมเดียวกัน หรือไม่  แต่แล้วความศรัทธาก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในใจ ของพวกเขา อย่างช้าๆ หลังจากนั้น ผู้คนทั้งหมดก็ไปรวมตัวกันแอยู่บนภูเขา และวิงวอนขอความเมตตา และการอภัยโทษต่ออัลเลาะฮ์ บนภูเขาที่มีเสียงร้องไห้ของพวกเขา ก้องกังวานไปทั่ว นั่นเป็นช่วงเวลา ที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด อย่างแท้จริงใจ
ดังนั้น อัลเลาะฮ์จึงได้ทรงคลายความกริ้ว ของพระองค์ และประทานความจำเริญแก่พวกเขา อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพายุร้ายผ่านไป พวกเขาก็วิงวอนขอให้นบียูนุส กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้มาชี้นำพวกเขา ในเวลานั้น นบียูนุสได้ขึ้นเรือเล็กๆ ลำหนึ่งไปแล้ว พร้อมกับผู้โดยสารอีกจำนวนหนึ่ง เรือลำนั้นแล่นออกสู่ท้องทะเล อันสงบตลอดทั้งวัน แต่พอกลางคืน ทะเลก็เปลี่ยนแปลง อย่างกะทันหัน พายุร้ายได้หันกระหน่ำ ราวกับว่ามันกำลังจะทำลายเรือ ให้แตกออกเป็นชิ้นๆ คลื่นทะเลที่สูงดังภูเขา และลึกเหมือนหุบเขา ได้โยนเรือลำน้อยไปมา อยู่กลางทะเล ที่โหดร้ายดูน่าร้าย ขณะเดียวกัน ด้านหลังของเรือก็มีปลาวาฬขนาดมหึมาตัวหนึ่ง กำลังพ่นน้ำและอ้าปากอยู่ อัลเลาะฮ์ได้ทรงบัญชาให้ปลาวาฬนั้น โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ และตามเรือลำนั้นไป ปลาวาฬตัวนั้นจึงโผล่มาเหนือน้ำตามบัญชา และว่ายน้ำตามเรือ ไปด้วยความเชื่อฟังความโกลาหลบนเรือ ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป และผู้คุมเรือ ได้ขอให้ผู้ที่อยู่บนเรือ ช่วยกันทำให้เบาลง ดังนั้น พวกเขาได้โยนสิ่งของ ที่นำมาทั้งหมด ลงทะเลไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พอ พวกเขาจำเป็นต้องลดน้ำหนัก ของเรือลงอีก เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตัดสินใจกันเองว่า จำเป็นให้ใครคนหนึ่ง ออกจากเรือไป เพื่อที่เรือจะได้เบาลงกัปตันเรือได้ออกคำสั่งว่า “เราจะเสี่ยงทาย โดยใช้ชื่อของคน ที่อยู่บนเรือ ถ้าเสี่ยงทายได้ชื่อของใคร คนนั้นจะต้องถูกโยนลงทะเลไป” นบียูนุสรู้ว่า นี่เป็นประเพณีของคนเดินเรือ เมื่อต้องเผชิญภาวะวิกฤต กลางท้องทะเล มันเป็นประเพณีของลัทธิบูชาเทวรูป แต่มันถูกนำมาใช้ในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ วิกฤตของนบียูนุส จึงเริ่มขึ้น ท่านเป็นนบี แต่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎ ของลัทธิเชื่อถือโชคลาง ของผู้บูชาเทวรูป ที่ว่าทะเล และ ลม มีเทพเจ้าที่สร้างความปั่นป่วน กัปตันเรือต้องเอาใจเทพเจ้าเหล่านี้ นบียูนุสไม่อยากที่จะเข้าไปร่วม ในการเสี่ยงทายนี้ แต่ชื่อของท่านก็ได้ถูกรวม ไว้กับชื่อของผู้โดยสารท่านอื่นๆ แล้ว และเมื่อมีการเสี่ยงทาย ก็ได้ปรากฏว่าได้ชื่อของ “ยูนุส” ขึ้นมา เนื่องจากผู้โดยสารรู้ว่า ท่านเป็นผู้มีเกียรติสูงสุด ในหมู่พวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อยากที่จะโยนท่าน ลงไปในทะ?

นบีอาดัม (Nabi Adam)

นบีอาดัม (Nabi Adam) เป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจากดิน ตามคติของศาสนาอับราฮัม และยังเป็นศาสดาองค์แรกของพระอัลเลาะฮ์ด้วย