ศาสนาคริสต์ มีศาสดาคือ พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) พระเยซู ตามเนื้อความในพระคัมภีร์ พระองค์ทรงเป็นชาวยิวและทรงบังเกิดที่เมืองเบ็ธเลเฮม (Bethlehem) แคว้นยูเดีย ปัจจุบันอยู่ในเขต ของกรุงเยรูซาเลม (Jerusalem) ประเทศอิสราเอล พระเยซูเป็นบุตรชายของ โยเซฟ และ มารีย์ แห่งเมืองนาซาเร็ท (Nazareth) ซึ่งอยู่ตอนเหนือของอิสราเอลในปัจจุบัน โยเซฟผู้เป็นบิดาของท่านสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์เดวิดที่ยิ่งใหญ่ของชาวยิว โยเซฟเป็นช่างไม้ แต่งงานกับมารีย์ หญิงพรหมจรรย์ ซึ่งได้ตั้งครรภ์พระเยซูโดยพระอานุภาพแห่งพระเจ้า ในเวลานั้นจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตุส สั่งให้มีการจดทะเบียนสำมะโนประชากรทั่วแผ่นดินในอาณาจักร โยเซฟจึงพามารีย์ซึ่งมีครรภ์แก่ออกเดินทางไปบ้านเกิดคือเมืองเบ็ธเลเฮม ทั้งสองไม่สามารถหาที่พักในโรงแรมได้ จึงไปพักกันในคอกสัตว์ของโรงแรม พระเยซูคริสต์ได้ถือกำเนิด ณ ที่นั้น

ปัจจุบันถือว่าวันที่พระเยซูคริสต์ถือกำเนิด คือ วันที่ ๒๕ ธันวาคม (เชื่อกันว่าเป็นการกำหนดขึ้นภายหลัง) คัมภีร์ไบเบิ้ลมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์อยู่ในพระวรสาร (Gospel) ในวัยเด็กพระองค์อาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเร็ท เมื่ออายุ ๑๒ปี พระองค์ได้เดินทางไปฉลองพระวิหารที่เยรูซาเล็ม ณ ที่นั่นพระองค์ได้แสดงให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้ถึงเส้นทางที่พระองค์จะเติบโตไปในอนาคต ด้วยการไปนั่งฟังและไถ่ถามบรรดานักปราชญ์ในศาสนาของชาวยิวในพระวิหาร บิดาและมารดาของพระองค์ต้องตามหาเป็นเวลาถึง ๓ วัน พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกรายละเอียดของพระองค์มากนักในช่วงอายุตั้งแต่ ๑๒ ปี จนถึง ๓๐ ปี ทราบเพียงแต่ว่าพระองค์ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีอาชีพเป็นช่างไม้อยู่ในบ้านเกิดของมารดาที่พากันย้ายไปอยู่ หลังจากบิดาเสียชีวิต พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงไปรับพิธีล้างที่แม่น้ำจอร์แดนกับยอห์น บับติสท์ (John the Baptist) ซึ่งเป็นผู้ประกาศแก่ชาวอิสราเอลว่าจะมีผู้มาช่วยให้รอดพ้นจากบาปในไม่ช้า และพระองค์เป็นพระแมสซีอาห์ จึงขอให้เตรียมรับเสด็จพระเจ้าที่กำลังจะมา ขณะที่พระองค์ไปพบกับยอห์นนั้นมีอายุได้ ๓๐ ปี หลังจากรับพิธีล้างแล้ว พระองค์เริ่มพันธกิจที่บังเกิดเป็นมนุษย์คือ เพื่อมาไถ่บาปมวลมนุษย์โดยการเดินทางไปยังถิ่นกันดาร จำศีลภาวนา ไม่ดื่มกินเป็นเวลา ๔๐ วัน ในช่วงนี้เป็นช่วงที่พระองค์ต้องต่อสู้กับมารที่มาผจญด้วยการท้าทายต่างๆ เพื่อยั่วยุให้พระองค์หลงทางแต่ในที่สุดมารก็พ่ายแพ้และจากไป พระองค์จึงได้เริ่มออกเทศนาสั่งสอนประชาชนตามที่ต่างๆ พระเยซูทรงมีสาวกที่ใกล้ชิดในรุ่นแรกทั้งหมด ๑๒ คน สาวกรุ่นแรกของพระองค์นี้เป็นสามัญชน ส่วนใหญ่เป็นชาวประมง พวกเขาได้ละทิ้งทุกอย่างในชีวิตและพากันติดตามพระองค์ไปในที่ต่างๆ สาวกทั้ง ๑๒ คนนั้น ได้แก่ เปโตร (ซีโมน) อันดรูว์ ยากอบ (บุตรเศเบดี) ยอห์น พิลิป บาร์โธโลมิว โธมัส มัทธิว ยากอบ (บุตรอัลเฟอัส) ธัดเดอัส ซีโมนผู้รักชาติ ยูดาส อิสคาริโอท (ซึ่งเป็นผู้ทรยศ ขายพระองค์) สาวกทั้ง ๑๒ คนของพระเยซูนี้ ถูกเรียกว่า อัครสาวก (Apostles)

สังคมชาวยิวเวลานั้นอยู่ภายใต้การปกครองและเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรมัน ประชาชนทั่วไปได้รับความทุกข์นานัปการจากหลายสาเหตุ ชื่อเสียงของพระเยซูคริสต์เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เนื่องจากวิธีการที่พระองค์ใช้พร้อมกันกับการประกาศความเชื่อคือการช่วยเหลือผู้ที่เป็นทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น คนที่เดินไม่ได้ เป็นโรคเรื้อน คนที่ถูกผีเข้า คนเป็นลมบ้าหมู คนตาบอด คนเป็นใบ้ ให้หายจากโรค ทำให้คนทั้งหลายเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระองค์ และรับฟังคำสอนของพระองค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บัญญัติสำคัญสูงสุดคือบัญญัติแห่งความรัก รักพระเจ้าอย่างสูงสุด โดยการแสดงออกทางความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และเน้นศักดิ์ศรีการเป็นมนุษย์นั้นเท่าเทียมกันหมด คือทุกคนเป็นลูกพระเจ้า เนื่องจากพระองค์ยกฐานะคนที่ตกขอบสังคมให้มีความหวังในชีวิต ดังนั้น คำสอนของพระองค์จึงขัดแย้งกับบรรดาธรรมาจารย์ และพวกฟารีสีซึ่งเป็นกลุ่มที่ถือบทบัญญัติตามโมเสสอย่างเคร่งครัด แต่กระทำเพื่อเอาหน้า เอารัดเอาเปรียบสังคม แบ่งแยกชนชั้นแบบพวกหน้าซื่อใจคด ความนิยมชมชอบต่อพระเยซูคริสต์ของคนทั้งหลายเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้พระองค์ถูกกลุ่มผู้นำที่เห็นต่างและไม่พอใจที่พระองค์ได้อ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้าที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความรอด จึงวางแผนสังหารพระองค์ กล่าวหาและใส่ร้ายพระองค์เพื่อให้พระองค์ถูกโทษประหารให้ตรึงกางเขน ช่วงเวลาของการเผยแผ่คำสอนของพระองค์ดำเนินไปในช่วงเวลาเพียงแค่ ๓ ปี

ในวันที่พระองค์ถูกจับโดยทหารโรมันนั้นเป็นคืนวันก่อนฉลองเทศกาลปัสกา อันเป็นเทศกาลของชาวยิวที่ระลึกถึงการเดินทางออกจากประเทศอียิปต์ ระลึกถึงการข้ามทะเลแดง (ปัสกา หรือการข้ามผ่าน Pass over) จากการเป็นทาสสู่การเป็นไท ตามประเพณีชาวยิวจะมารับประทานเนื้อแกะและขนมปังไม่มีเชื้อร่วมกัน ในวันนั้นพระเยซูเจ้าได้สั่งให้อัครสาวกทั้ง ๑๒ จัดโต๊ะอาหารตามประเพณี และประกาศในที่นั้นว่าจะมีสาวกคนหนึ่งทรยศต่อพระองค์ก่อนจะรับประทานอาหารร่วมกัน หลังจากรับประทานอาหารค่ำครั้งสุดท้าย (The Last Supper ซึ่งต่อมากลายเป็นพิธีบูชาขอบพระคุณในปัจจุบัน) แล้วพระองค์ได้พาสาวกไปสวดภาวนาร่วมกันที่สวนเกทเซมานี ในเวลาไม่นาน ยูดาส อิสคาริโอท ศิษย์ผู้ทรยศได้พาชาวยิวและทหารโรมันมาจับกุมพระองค์ด้วยข้อกล่าวหาว่าพระองค์อ้างตนว่าเป็นบุตรของพระเจ้าพร้อมกับดูหมิ่นพระเจ้าและศาสนาตามประเพณียิว

พระองค์ถูกนำตัวไปสอบสวนต่อหน้ามหาปุโรหิตและข้าหลวงของโรมันผู้ที่มีชื่อว่า ปีลาต ระหว่างการสอบสวนพระองค์ถูกโบยและถูกด่าว่าต่างๆ ใส่ร้ายป้ายสี ปีลาตเองก็มองไม่เห็นความผิดและไม่อยาก เข้าไปยุ่งกับกฎของศาสนายิว จึงเอาน้ำมาล้างมือ เป็นสัญลักษณ์ประกาศว่า ไม่ขอรับผิดชอบในเรื่องนี้ และปล่อยให้ชาวยิวจัดการกันเอง ท้ายที่สุดพระเยซูถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนยังบริเวณนอกเมือง ณ เนินเขา ชื่อ กัลวารีโอ พระเยซูถูกประหารพร้อมกับโจร ๒ คน เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ เวลาบ่ายสามโมง ในวันศุกร์ บรรดาสาวกได้นำศพของพระองค์ไปฝังไว้ในคูหาหินเป็นคูหาใหม่ของศิษย์ของพระเยซูที่ชื่อโยเซฟ ชาวอาลิมาเทียที่เขาขุดไว้สำหรับตนเอง ในพระคัมภีร์ได้ยืนยันถึงการฟื้นคืนชีพของพระเยซู ๓ วันหลังจากถูกประหารชีวิตคือ เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ และการไปปรากฏตัวต่อหน้าสาวกหลายๆ คน กล่าวกันว่า มีคนเห็นพระองค์กว่า ๕๐๐ คน เป็นเวลา ๔๐ วัน ก่อนจะเสด็จกลับสู่สวรรค์ หลังจากนั้นบรรดาสานุศิษย์ และบรรดาผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์ได้อยู่ร่วมกันอธิษฐานภาวนาวอนขอพระคุณจากองค์พระจิตเจ้า (Holy Spirit)

ต่อมาในวันเปนเตกอสเต บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมกันในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมและเริ่มพูดภาษาอื่น ๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวเลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติทั่วโลก เมื่อประชาชนได้ยินเสียงนี้จึงมาชุมนุมกันจำนวนมาก รู้สึกฉงนสนเท่ห์เพราะแต่ละคนได้ยินคนเหล่านี้พูดภาษาของตน ถามกันว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร” เปโตรยืนขึ้นและปราศรัยกับประชาชนถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ ผู้ที่ได้รับฟังการเทศนาของนักบุญเปโตร ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของอัครสาวกทั้งหลาย ประชาชนเกิดความเลื่อมใสเป็นจำนวนสามพันคน และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็สร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำในศาสนายูดาย พวกเขาได้เริ่มเบียดเบียนและทำร้ายศิษย์ของพระเยซูด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่ก็นับได้ว่าศาสนาคริสต์เริ่มหยั่งรากในจิตใจของผู้คนและเริ่มแพร่หลายออกไปในที่ต่างๆ นับแต่นั้นมา

ศาสนาคริสต์ มีศาสดาคือ พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) พระเยซู ตามเนื้อความในพระคัมภีร์ พระองค์ทรงเป็นชาวยิวและทรงบังเกิดที่เมืองเบ็ธเลเฮม (Bethlehem) แคว้นยูเดีย ปัจจุบันอยู่ในเขต ของกรุงเยรูซาเลม (Jerusalem) ประเทศอิสราเอล พระเยซูเป็นบุตรชายของ โยเซฟ และ มารีย์ แห่งเมืองนาซาเร็ท (Nazareth) ซึ่งอยู่ตอนเหนือของอิสราเอลในปัจจุบัน โยเซฟผู้เป็นบิดาของท่านสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์เดวิดที่ยิ่งใหญ่ของชาวยิว โยเซฟเป็นช่างไม้ แต่งงานกับมารีย์ หญิงพรหมจรรย์ ซึ่งได้ตั้งครรภ์พระเยซูโดยพระอานุภาพแห่งพระเจ้า ในเวลานั้นจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตุส สั่งให้มีการจดทะเบียนสำมะโนประชากรทั่วแผ่นดินในอาณาจักร โยเซฟจึงพามารีย์ซึ่งมีครรภ์แก่ออกเดินทางไปบ้านเกิดคือเมืองเบ็ธเลเฮม ทั้งสองไม่สามารถหาที่พักในโรงแรมได้ จึงไปพักกันในคอกสัตว์ของโรงแรม พระเยซูคริสต์ได้ถือกำเนิด ณ ที่นั้น

ปัจจุบันถือว่าวันที่พระเยซูคริสต์ถือกำเนิด คือ วันที่ ๒๕ ธันวาคม (เชื่อกันว่าเป็นการกำหนดขึ้นภายหลัง) คัมภีร์ไบเบิ้ลมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์อยู่ในพระวรสาร (Gospel) ในวัยเด็กพระองค์อาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเร็ท เมื่ออายุ ๑๒ปี พระองค์ได้เดินทางไปฉลองพระวิหารที่เยรูซาเล็ม ณ ที่นั่นพระองค์ได้แสดงให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้ถึงเส้นทางที่พระองค์จะเติบโตไปในอนาคต ด้วยการไปนั่งฟังและไถ่ถามบรรดานักปราชญ์ในศาสนาของชาวยิวในพระวิหาร บิดาและมารดาของพระองค์ต้องตามหาเป็นเวลาถึง ๓ วัน พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกรายละเอียดของพระองค์มากนักในช่วงอายุตั้งแต่ ๑๒ ปี จนถึง ๓๐ ปี ทราบเพียงแต่ว่าพระองค์ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีอาชีพเป็นช่างไม้อยู่ในบ้านเกิดของมารดาที่พากันย้ายไปอยู่ หลังจากบิดาเสียชีวิต พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงไปรับพิธีล้างที่แม่น้ำจอร์แดนกับยอห์น บับติสท์ (John the Baptist) ซึ่งเป็นผู้ประกาศแก่ชาวอิสราเอลว่าจะมีผู้มาช่วยให้รอดพ้นจากบาปในไม่ช้า และพระองค์เป็นพระแมสซีอาห์ จึงขอให้เตรียมรับเสด็จพระเจ้าที่กำลังจะมา ขณะที่พระองค์ไปพบกับยอห์นนั้นมีอายุได้ ๓๐ ปี หลังจากรับพิธีล้างแล้ว พระองค์เริ่มพันธกิจที่บังเกิดเป็นมนุษย์คือ เพื่อมาไถ่บาปมวลมนุษย์โดยการเดินทางไปยังถิ่นกันดาร จำศีลภาวนา ไม่ดื่มกินเป็นเวลา ๔๐ วัน ในช่วงนี้เป็นช่วงที่พระองค์ต้องต่อสู้กับมารที่มาผจญด้วยการท้าทายต่างๆ เพื่อยั่วยุให้พระองค์หลงทางแต่ในที่สุดมารก็พ่ายแพ้และจากไป พระองค์จึงได้เริ่มออกเทศนาสั่งสอนประชาชนตามที่ต่างๆ พระเยซูทรงมีสาวกที่ใกล้ชิดในรุ่นแรกทั้งหมด ๑๒ คน สาวกรุ่นแรกของพระองค์นี้เป็นสามัญชน ส่วนใหญ่เป็นชาวประมง พวกเขาได้ละทิ้งทุกอย่างในชีวิตและพากันติดตามพระองค์ไปในที่ต่างๆ สาวกทั้ง ๑๒ คนนั้น ได้แก่ เปโตร (ซีโมน) อันดรูว์ ยากอบ (บุตรเศเบดี) ยอห์น พิลิป บาร์โธโลมิว โธมัส มัทธิว ยากอบ (บุตรอัลเฟอัส) ธัดเดอัส ซีโมนผู้รักชาติ ยูดาส อิสคาริโอท (ซึ่งเป็นผู้ทรยศ ขายพระองค์) สาวกทั้ง ๑๒ คนของพระเยซูนี้ ถูกเรียกว่า อัครสาวก (Apostles)

สังคมชาวยิวเวลานั้นอยู่ภายใต้การปกครองและเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรมัน ประชาชนทั่วไปได้รับความทุกข์นานัปการจากหลายสาเหตุ ชื่อเสียงของพระเยซูคริสต์เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เนื่องจากวิธีการที่พระองค์ใช้พร้อมกันกับการประกาศความเชื่อคือการช่วยเหลือผู้ที่เป็นทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น คนที่เดินไม่ได้ เป็นโรคเรื้อน คนที่ถูกผีเข้า คนเป็นลมบ้าหมู คนตาบอด คนเป็นใบ้ ให้หายจากโรค ทำให้คนทั้งหลายเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระองค์ และรับฟังคำสอนของพระองค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บัญญัติสำคัญสูงสุดคือบัญญัติแห่งความรัก รักพระเจ้าอย่างสูงสุด โดยการแสดงออกทางความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และเน้นศักดิ์ศรีการเป็นมนุษย์นั้นเท่าเทียมกันหมด คือทุกคนเป็นลูกพระเจ้า เนื่องจากพระองค์ยกฐานะคนที่ตกขอบสังคมให้มีความหวังในชีวิต ดังนั้น คำสอนของพระองค์จึงขัดแย้งกับบรรดาธรรมาจารย์ และพวกฟารีสีซึ่งเป็นกลุ่มที่ถือบทบัญญัติตามโมเสสอย่างเคร่งครัด แต่กระทำเพื่อเอาหน้า เอารัดเอาเปรียบสังคม แบ่งแยกชนชั้นแบบพวกหน้าซื่อใจคด ความนิยมชมชอบต่อพระเยซูคริสต์ของคนทั้งหลายเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้พระองค์ถูกกลุ่มผู้นำที่เห็นต่างและไม่พอใจที่พระองค์ได้อ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้าที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความรอด จึงวางแผนสังหารพระองค์ กล่าวหาและใส่ร้ายพระองค์เพื่อให้พระองค์ถูกโทษประหารให้ตรึงกางเขน ช่วงเวลาของการเผยแผ่คำสอนของพระองค์ดำเนินไปในช่วงเวลาเพียงแค่ ๓ ปี

ในวันที่พระองค์ถูกจับโดยทหารโรมันนั้นเป็นคืนวันก่อนฉลองเทศกาลปัสกา อันเป็นเทศกาลของชาวยิวที่ระลึกถึงการเดินทางออกจากประเทศอียิปต์ ระลึกถึงการข้ามทะเลแดง (ปัสกา หรือการข้ามผ่าน Pass over) จากการเป็นทาสสู่การเป็นไท ตามประเพณีชาวยิวจะมารับประทานเนื้อแกะและขนมปังไม่มีเชื้อร่วมกัน ในวันนั้นพระเยซูเจ้าได้สั่งให้อัครสาวกทั้ง ๑๒ จัดโต๊ะอาหารตามประเพณี และประกาศในที่นั้นว่าจะมีสาวกคนหนึ่งทรยศต่อพระองค์ก่อนจะรับประทานอาหารร่วมกัน หลังจากรับประทานอาหารค่ำครั้งสุดท้าย (The Last Supper ซึ่งต่อมากลายเป็นพิธีบูชาขอบพระคุณในปัจจุบัน) แล้วพระองค์ได้พาสาวกไปสวดภาวนาร่วมกันที่สวนเกทเซมานี ในเวลาไม่นาน ยูดาส อิสคาริโอท ศิษย์ผู้ทรยศได้พาชาวยิวและทหารโรมันมาจับกุมพระองค์ด้วยข้อกล่าวหาว่าพระองค์อ้างตนว่าเป็นบุตรของพระเจ้าพร้อมกับดูหมิ่นพระเจ้าและศาสนาตามประเพณียิว

พระองค์ถูกนำตัวไปสอบสวนต่อหน้ามหาปุโรหิตและข้าหลวงของโรมันผู้ที่มีชื่อว่า ปีลาต ระหว่างการสอบสวนพระองค์ถูกโบยและถูกด่าว่าต่างๆ ใส่ร้ายป้ายสี ปีลาตเองก็มองไม่เห็นความผิดและไม่อยาก เข้าไปยุ่งกับกฎของศาสนายิว จึงเอาน้ำมาล้างมือ เป็นสัญลักษณ์ประกาศว่า ไม่ขอรับผิดชอบในเรื่องนี้ และปล่อยให้ชาวยิวจัดการกันเอง ท้ายที่สุดพระเยซูถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนยังบริเวณนอกเมือง ณ เนินเขา ชื่อ กัลวารีโอ พระเยซูถูกประหารพร้อมกับโจร ๒ คน เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ เวลาบ่ายสามโมง ในวันศุกร์ บรรดาสาวกได้นำศพของพระองค์ไปฝังไว้ในคูหาหินเป็นคูหาใหม่ของศิษย์ของพระเยซูที่ชื่อโยเซฟ ชาวอาลิมาเทียที่เขาขุดไว้สำหรับตนเอง ในพระคัมภีร์ได้ยืนยันถึงการฟื้นคืนชีพของพระเยซู ๓ วันหลังจากถูกประหารชีวิตคือ เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ และการไปปรากฏตัวต่อหน้าสาวกหลายๆ คน กล่าวกันว่า มีคนเห็นพระองค์กว่า ๕๐๐ คน เป็นเวลา ๔๐ วัน ก่อนจะเสด็จกลับสู่สวรรค์ หลังจากนั้นบรรดาสานุศิษย์ และบรรดาผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์ได้อยู่ร่วมกันอธิษฐานภาวนาวอนขอพระคุณจากองค์พระจิตเจ้า (Holy Spirit)

ต่อมาในวันเปนเตกอสเต บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมกันในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมและเริ่มพูดภาษาอื่น ๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวเลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติทั่วโลก เมื่อประชาชนได้ยินเสียงนี้จึงมาชุมนุมกันจำนวนมาก รู้สึกฉงนสนเท่ห์เพราะแต่ละคนได้ยินคนเหล่านี้พูดภาษาของตน ถามกันว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร” เปโตรยืนขึ้นและปราศรัยกับประชาชนถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ ผู้ที่ได้รับฟังการเทศนาของนักบุญเปโตร ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของอัครสาวกทั้งหลาย ประชาชนเกิดความเลื่อมใสเป็นจำนวนสามพันคน และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็สร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำในศาสนายูดาย พวกเขาได้เริ่มเบียดเบียนและทำร้ายศิษย์ของพระเยซูด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่ก็นับได้ว่าศาสนาคริสต์เริ่มหยั่งรากในจิตใจของผู้คนและเริ่มแพร่หลายออกไปในที่ต่างๆ นับแต่นั้นมา