(1) พระพุทธเจ้า ทรงมีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งมั่นแล้ว หรือผู้ที่ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางสิริมหามายา ซึ่งพระนางฯได้สิ้นพระชนม์เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้เพียง 7 วัน โดยทันทีที่พระองค์ประสูติ ก็สามารถดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งวาจาว่า “เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา” ทั้งนี้ พราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ หากดำรงตนอยู่ในฆราวาสจะได้เป็นมหาจักรพรรดิ ยกเว้นพระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นพราหมณ์ที่มีอายุน้อยที่สุด ได้ยืนยันว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน

(2) พระอัญญาโกณฑัญญะ มีชื่อเดิมว่า โกณฑัญญะ บิดาและมารดาเป็นพราหมณ์มหาศาล ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์ จบการศึกษาด้านไตรเพทในคัมภีร์พราหมณ์ มีความเชี่ยวชาญในการทำนายลักษณะ ท่านเป็นหนึ่งในพราหมณ์ทั้ง 8 ที่พระเจ้าสุทโธทนะเชิญมาทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธิธัตถะในสมัยพุทธกาล เมื่อประสูติได้เพียง 5 วัน ซึ่งท่านได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธิธัตถะจะออกบวชและเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเมื่อครั้งเจ้าชายสิทธิธัตถะได้เสด็จออกบวช ด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะทรงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างแน่นอน จึงชวนพราหมณ์ (ปัญจวัคคีย์) อีก 4 คน ออกบวชตาม ด้วยความหวังว่า เมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะได้ทรงบรรลุธรรมแล้วจะได้ทรงแสดงธรรมแก่พวกตนบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ครั้นเมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะทรงบำเพ็ญทุกขกิริยา ก็ทำให้พราหมณ์ทั้ง 5 เกิดความหมดศรัทธา และชักชวนกันไปอยู่ที่ป่าอิสปตนมฤคทายวัน จนเมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงได้เสด็จไปยังป่าอิสปตนมฤคทายวันเพื่อทรงแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ

ภาพพระพุทธเจ้าทรงทรงแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5

(3) พระอานนท์ หรือพระอานนท์เถระ เป็นพระราชโอรสของพระสุกโกทนะ และพระนางกีสาโคตมี เมืองศากยวงศ์ ทรงเป็นพระภาดากับพระพุทธเจ้า รวมทั้งเป็นสหชาติกับพระพุทธองค์ด้วย ท่านทรงออกบวชพร้อมกับเจ้าชายอนุรุทธะและอุบาลี ครั้นเมื่อออกบวชไม่นานก็ได้ศึกษาธรรมจากสำนักของท่านพระปุณณมันตานีบุตร และได้สำเร็จโสดาปัตติผล โดยพระองค์ได้ดำรงสังขารอยู่นานถึง 120 ปี เมื่อพิจาณาว่าเห็นสมควรปรินิพานได้แล้ว ท่านจึงได้เชิญเครือญาติไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ก่อนที่จะปรินิพานลง และได้แสดงธรรมสั่งสอนเครือญาติ เทวดา และพุทธบริษัทอื่นๆ และท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เมื่ออาตมานิพพานแล้วขอให้อัฐิธาตุของอาตมานี้จงแยกออกเป็น 2 ส่วน ให้ส่วนหนึ่งตกลงที่ฝั่งกรุงกบิลพัสดุ์ และอีกส่วนหนึ่งให้ตกลงในฝั่งกรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นญาติทั้ง 2 ฝั่งของพระองค์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทะเลาะวิวาท” ครั้นเมื่ออธิฐานแล้วเสร็จ เผาสรีระของท่านก็ตกลงบนดินของทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำโรหิณีตามที่ท่านได้อธิฐานไว้ทุกประการ

(4) พระสารีบุตร พระสารีบุตรเดิมมีชื่อว่า อุปติสสะ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ วังคันตะ และนางสารี เกิดในตำบลล้านชื่อนาลกะ หรือนาลันทะ ท่านมีน้องชาย 3 คน ได้แก่ พระจุนทะ พระอุปเสน และพระเรวัตตะ และมีน้องสาวอีก 3 คน ได้แก่ นางจาลา อุปจาลา และสีสุปจาลา โดยทุกคนได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทุกองค์ โดยในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นคืนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาท จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นผู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา และให้พระโมคคัลลานะเป็นอัครเบื้องซ้าย เลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์ ซึ่งนอกจากพระพุทธเจ้าจะทรงยกย่องพระสารุบุตรว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญาแล้ว ยังทรงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้มีความกตัญญูอีกด้วย

(5) พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเดิมมีชื่อว่า โกลิตะ เป็นบุตรของนายโกลิตะคาม กับนางโมคคัลลี ซึ่งท่านเป็นเพื่อนสนิทกับพระสารีบุตร ทั้ง 2 อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นบุตรแห่งตระกูลที่มั่งคั่งเหมือนกัน และได้ออกบวชพร้อมกัน แต่ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก่อนพระสารีบุตร 7 วัน โดยในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นคืนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาท จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นผู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา และให้พระโมคคัลลานะเป็นอัครเบื้องซ้าย เลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์ หรือเป็นผู้มีอภิญญา 6 ประการ ได้แก่ อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้) ทิพพโสด (มีหูทิพย์) เจโตปริยญาณ (กำหนดใจผู้อื่นได้) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้) ทิพพจักขุ (มีตาทิพย์) และ อาสวักขยญาณ (ทำให้อาสวะสิ้นไป)

ศาสนบุคคล 
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
หมายถึง  น. นักบวชในศาสนา เช่น ภิกษุสามเณรเป็นศาสนบุคคลของพระพุทธศาสนา.

พระพุทธเจ้า

(1) พระพุทธเจ้า ทรงมีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งมั่นแล้ว หรือผู้ที่ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางสิริมหามายา ซึ่งพระนางฯได้สิ้นพระชนม์เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้เพียง 7 วัน โดยทันทีที่พระองค์ประสูติ ก็สามารถดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งวาจาว่า “เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา” ทั้งนี้ พราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ หากดำรงตนอยู่ในฆราวาสจะได้เป็นมหาจักรพรรดิ ยกเว้นพระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นพราหมณ์ที่มีอายุน้อยที่สุด ได้ยืนยันว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน  

ข้อมูลเพิ่มเติม www.phuttha.com

 

พระอัญญาโกณฑัญญะ

(2) พระอัญญาโกณฑัญญะ มีชื่อเดิมว่า โกณฑัญญะ บิดาและมารดาเป็นพราหมณ์มหาศาล ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์ จบการศึกษาด้านไตรเพทในคัมภีร์พราหมณ์ มีความเชี่ยวชาญในการทำนายลักษณะ ท่านเป็นหนึ่งในพราหมณ์ทั้ง 8 ที่พระเจ้าสุทโธทนะเชิญมาทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธิธัตถะในสมัยพุทธกาล เมื่อประสูติได้เพียง 5 วัน ซึ่งท่านได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธิธัตถะจะออกบวชและเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเมื่อครั้งเจ้าชายสิทธิธัตถะได้เสด็จออกบวช ด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะทรงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างแน่นอน จึงชวนพราหมณ์ (ปัญจวัคคีย์) อีก 4 คน ออกบวชตาม ด้วยความหวังว่า เมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะได้ทรงบรรลุธรรมแล้วจะได้ทรงแสดงธรรมแก่พวกตนบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ครั้นเมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะทรงบำเพ็ญทุกขกิริยา ก็ทำให้พราหมณ์ทั้ง 5 เกิดความหมดศรัทธา และชักชวนกันไปอยู่ที่ป่าอิสปตนมฤคทายวัน จนเมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงได้เสด็จไปยังป่าอิสปตนมฤคทายวันเพื่อทรงแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ

ภาพพระพุทธเจ้าทรงทรงแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5

พระอานนท์

(3) พระอานนท์ หรือพระอานนท์เถระ เป็นพระราชโอรสของพระสุกโกทนะ และพระนางกีสาโคตมี เมืองศากยวงศ์ ทรงเป็นพระภาดากับพระพุทธเจ้า รวมทั้งเป็นสหชาติกับพระพุทธองค์ด้วย ท่านทรงออกบวชพร้อมกับเจ้าชายอนุรุทธะและอุบาลี ครั้นเมื่อออกบวชไม่นานก็ได้ศึกษาธรรมจากสำนักของท่านพระปุณณมันตานีบุตร และได้สำเร็จโสดาปัตติผล โดยพระองค์ได้ดำรงสังขารอยู่นานถึง 120 ปี เมื่อพิจาณาว่าเห็นสมควรปรินิพานได้แล้ว ท่านจึงได้เชิญเครือญาติไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ก่อนที่จะปรินิพานลง และได้แสดงธรรมสั่งสอนเครือญาติ เทวดา และพุทธบริษัทอื่นๆ และท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เมื่ออาตมานิพพานแล้วขอให้อัฐิธาตุของอาตมานี้จงแยกออกเป็น 2 ส่วน ให้ส่วนหนึ่งตกลงที่ฝั่งกรุงกบิลพัสดุ์ และอีกส่วนหนึ่งให้ตกลงในฝั่งกรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นญาติทั้ง 2 ฝั่งของพระองค์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทะเลาะวิวาท” ครั้นเมื่ออธิฐานแล้วเสร็จ เผาสรีระของท่านก็ตกลงบนดินของทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำโรหิณีตามที่ท่านได้อธิฐานไว้ทุกประการ

ข้อมูลเพิ่มเติม จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระสารีบุตร

(4) พระสารีบุตร พระสารีบุตรเดิมมีชื่อว่า อุปติสสะ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ วังคันตะ และนางสารี เกิดในตำบลล้านชื่อนาลกะ หรือนาลันทะ ท่านมีน้องชาย 3 คน ได้แก่ พระจุนทะ พระอุปเสน และพระเรวัตตะ และมีน้องสาวอีก 3 คน ได้แก่ นางจาลา อุปจาลา และสีสุปจาลา โดยทุกคนได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทุกองค์ โดยในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นคืนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาท จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นผู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา และให้พระโมคคัลลานะเป็นอัครเบื้องซ้าย เลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์ ซึ่งนอกจากพระพุทธเจ้าจะทรงยกย่องพระสารุบุตรว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญาแล้ว ยังทรงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้มีความกตัญญูอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม 
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระโมคคัลลานะ

(5) พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเดิมมีชื่อว่า โกลิตะ เป็นบุตรของนายโกลิตะคาม กับนางโมคคัลลี ซึ่งท่านเป็นเพื่อนสนิทกับพระสารีบุตร ทั้ง 2 อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นบุตรแห่งตระกูลที่มั่งคั่งเหมือนกัน และได้ออกบวชพร้อมกัน แต่ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก่อนพระสารีบุตร 7 วัน โดยในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นคืนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาท จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นผู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา และให้พระโมคคัลลานะเป็นอัครเบื้องซ้าย เลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์ หรือเป็นผู้มีอภิญญา 6 ประการ ได้แก่ อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้) ทิพพโสด (มีหูทิพย์) เจโตปริยญาณ (กำหนดใจผู้อื่นได้) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้) ทิพพจักขุ (มีตาทิพย์) และ อาสวักขยญาณ (ทำให้อาสวะสิ้นไป)

ข้อมูลเพิ่มเติม จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

(1) พระพุทธเจ้า ทรงมีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งมั่นแล้ว หรือผู้ที่ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางสิริมหามายา ซึ่งพระนางฯได้สิ้นพระชนม์เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้เพียง 7 วัน โดยทันทีที่พระองค์ประสูติ ก็สามารถดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งวาจาว่า “เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา” ทั้งนี้ พราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ หากดำรงตนอยู่ในฆราวาสจะได้เป็นมหาจักรพรรดิ ยกเว้นพระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นพราหมณ์ที่มีอายุน้อยที่สุด ได้ยืนยันว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน

(2) พระอัญญาโกณฑัญญะ มีชื่อเดิมว่า โกณฑัญญะ บิดาและมารดาเป็นพราหมณ์มหาศาล ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์ จบการศึกษาด้านไตรเพทในคัมภีร์พราหมณ์ มีความเชี่ยวชาญในการทำนายลักษณะ ท่านเป็นหนึ่งในพราหมณ์ทั้ง 8 ที่พระเจ้าสุทโธทนะเชิญมาทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธิธัตถะในสมัยพุทธกาล เมื่อประสูติได้เพียง 5 วัน ซึ่งท่านได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธิธัตถะจะออกบวชและเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเมื่อครั้งเจ้าชายสิทธิธัตถะได้เสด็จออกบวช ด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะทรงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างแน่นอน จึงชวนพราหมณ์ (ปัญจวัคคีย์) อีก 4 คน ออกบวชตาม ด้วยความหวังว่า เมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะได้ทรงบรรลุธรรมแล้วจะได้ทรงแสดงธรรมแก่พวกตนบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ครั้นเมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะทรงบำเพ็ญทุกขกิริยา ก็ทำให้พราหมณ์ทั้ง 5 เกิดความหมดศรัทธา และชักชวนกันไปอยู่ที่ป่าอิสปตนมฤคทายวัน จนเมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงได้เสด็จไปยังป่าอิสปตนมฤคทายวันเพื่อทรงแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ

ภาพพระพุทธเจ้าทรงทรงแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5

(3) พระอานนท์ หรือพระอานนท์เถระ เป็นพระราชโอรสของพระสุกโกทนะ และพระนางกีสาโคตมี เมืองศากยวงศ์ ทรงเป็นพระภาดากับพระพุทธเจ้า รวมทั้งเป็นสหชาติกับพระพุทธองค์ด้วย ท่านทรงออกบวชพร้อมกับเจ้าชายอนุรุทธะและอุบาลี ครั้นเมื่อออกบวชไม่นานก็ได้ศึกษาธรรมจากสำนักของท่านพระปุณณมันตานีบุตร และได้สำเร็จโสดาปัตติผล โดยพระองค์ได้ดำรงสังขารอยู่นานถึง 120 ปี เมื่อพิจาณาว่าเห็นสมควรปรินิพานได้แล้ว ท่านจึงได้เชิญเครือญาติไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ก่อนที่จะปรินิพานลง และได้แสดงธรรมสั่งสอนเครือญาติ เทวดา และพุทธบริษัทอื่นๆ และท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เมื่ออาตมานิพพานแล้วขอให้อัฐิธาตุของอาตมานี้จงแยกออกเป็น 2 ส่วน ให้ส่วนหนึ่งตกลงที่ฝั่งกรุงกบิลพัสดุ์ และอีกส่วนหนึ่งให้ตกลงในฝั่งกรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นญาติทั้ง 2 ฝั่งของพระองค์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทะเลาะวิวาท” ครั้นเมื่ออธิฐานแล้วเสร็จ เผาสรีระของท่านก็ตกลงบนดินของทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำโรหิณีตามที่ท่านได้อธิฐานไว้ทุกประการ

(4) พระสารีบุตร พระสารีบุตรเดิมมีชื่อว่า อุปติสสะ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ วังคันตะ และนางสารี เกิดในตำบลล้านชื่อนาลกะ หรือนาลันทะ ท่านมีน้องชาย 3 คน ได้แก่ พระจุนทะ พระอุปเสน และพระเรวัตตะ และมีน้องสาวอีก 3 คน ได้แก่ นางจาลา อุปจาลา และสีสุปจาลา โดยทุกคนได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทุกองค์ โดยในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นคืนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาท จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นผู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา และให้พระโมคคัลลานะเป็นอัครเบื้องซ้าย เลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์ ซึ่งนอกจากพระพุทธเจ้าจะทรงยกย่องพระสารุบุตรว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญาแล้ว ยังทรงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้มีความกตัญญูอีกด้วย

(5) พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเดิมมีชื่อว่า โกลิตะ เป็นบุตรของนายโกลิตะคาม กับนางโมคคัลลี ซึ่งท่านเป็นเพื่อนสนิทกับพระสารีบุตร ทั้ง 2 อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นบุตรแห่งตระกูลที่มั่งคั่งเหมือนกัน และได้ออกบวชพร้อมกัน แต่ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก่อนพระสารีบุตร 7 วัน โดยในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นคืนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาท จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นผู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา และให้พระโมคคัลลานะเป็นอัครเบื้องซ้าย เลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์ หรือเป็นผู้มีอภิญญา 6 ประการ ได้แก่ อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้) ทิพพโสด (มีหูทิพย์) เจโตปริยญาณ (กำหนดใจผู้อื่นได้) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้) ทิพพจักขุ (มีตาทิพย์) และ อาสวักขยญาณ (ทำให้อาสวะสิ้นไป)

ศาสนบุคคล 
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
หมายถึง  น. นักบวชในศาสนา เช่น ภิกษุสามเณรเป็นศาสนบุคคลของพระพุทธศาสนา.

พระพุทธเจ้า

(1) พระพุทธเจ้า ทรงมีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งมั่นแล้ว หรือผู้ที่ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางสิริมหามายา ซึ่งพระนางฯได้สิ้นพระชนม์เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้เพียง 7 วัน โดยทันทีที่พระองค์ประสูติ ก็สามารถดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งวาจาว่า “เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา” ทั้งนี้ พราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ หากดำรงตนอยู่ในฆราวาสจะได้เป็นมหาจักรพรรดิ ยกเว้นพระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นพราหมณ์ที่มีอายุน้อยที่สุด ได้ยืนยันว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน  

ข้อมูลเพิ่มเติม www.phuttha.com

 

พระอัญญาโกณฑัญญะ

(2) พระอัญญาโกณฑัญญะ มีชื่อเดิมว่า โกณฑัญญะ บิดาและมารดาเป็นพราหมณ์มหาศาล ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์ จบการศึกษาด้านไตรเพทในคัมภีร์พราหมณ์ มีความเชี่ยวชาญในการทำนายลักษณะ ท่านเป็นหนึ่งในพราหมณ์ทั้ง 8 ที่พระเจ้าสุทโธทนะเชิญมาทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธิธัตถะในสมัยพุทธกาล เมื่อประสูติได้เพียง 5 วัน ซึ่งท่านได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธิธัตถะจะออกบวชและเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเมื่อครั้งเจ้าชายสิทธิธัตถะได้เสด็จออกบวช ด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะทรงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างแน่นอน จึงชวนพราหมณ์ (ปัญจวัคคีย์) อีก 4 คน ออกบวชตาม ด้วยความหวังว่า เมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะได้ทรงบรรลุธรรมแล้วจะได้ทรงแสดงธรรมแก่พวกตนบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ครั้นเมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะทรงบำเพ็ญทุกขกิริยา ก็ทำให้พราหมณ์ทั้ง 5 เกิดความหมดศรัทธา และชักชวนกันไปอยู่ที่ป่าอิสปตนมฤคทายวัน จนเมื่อเจ้าชายสิทธิธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงได้เสด็จไปยังป่าอิสปตนมฤคทายวันเพื่อทรงแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ

ภาพพระพุทธเจ้าทรงทรงแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5

พระอานนท์

(3) พระอานนท์ หรือพระอานนท์เถระ เป็นพระราชโอรสของพระสุกโกทนะ และพระนางกีสาโคตมี เมืองศากยวงศ์ ทรงเป็นพระภาดากับพระพุทธเจ้า รวมทั้งเป็นสหชาติกับพระพุทธองค์ด้วย ท่านทรงออกบวชพร้อมกับเจ้าชายอนุรุทธะและอุบาลี ครั้นเมื่อออกบวชไม่นานก็ได้ศึกษาธรรมจากสำนักของท่านพระปุณณมันตานีบุตร และได้สำเร็จโสดาปัตติผล โดยพระองค์ได้ดำรงสังขารอยู่นานถึง 120 ปี เมื่อพิจาณาว่าเห็นสมควรปรินิพานได้แล้ว ท่านจึงได้เชิญเครือญาติไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ก่อนที่จะปรินิพานลง และได้แสดงธรรมสั่งสอนเครือญาติ เทวดา และพุทธบริษัทอื่นๆ และท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เมื่ออาตมานิพพานแล้วขอให้อัฐิธาตุของอาตมานี้จงแยกออกเป็น 2 ส่วน ให้ส่วนหนึ่งตกลงที่ฝั่งกรุงกบิลพัสดุ์ และอีกส่วนหนึ่งให้ตกลงในฝั่งกรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นญาติทั้ง 2 ฝั่งของพระองค์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทะเลาะวิวาท” ครั้นเมื่ออธิฐานแล้วเสร็จ เผาสรีระของท่านก็ตกลงบนดินของทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำโรหิณีตามที่ท่านได้อธิฐานไว้ทุกประการ

ข้อมูลเพิ่มเติม จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระสารีบุตร

(4) พระสารีบุตร พระสารีบุตรเดิมมีชื่อว่า อุปติสสะ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ วังคันตะ และนางสารี เกิดในตำบลล้านชื่อนาลกะ หรือนาลันทะ ท่านมีน้องชาย 3 คน ได้แก่ พระจุนทะ พระอุปเสน และพระเรวัตตะ และมีน้องสาวอีก 3 คน ได้แก่ นางจาลา อุปจาลา และสีสุปจาลา โดยทุกคนได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทุกองค์ โดยในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นคืนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาท จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นผู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา และให้พระโมคคัลลานะเป็นอัครเบื้องซ้าย เลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์ ซึ่งนอกจากพระพุทธเจ้าจะทรงยกย่องพระสารุบุตรว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญาแล้ว ยังทรงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้มีความกตัญญูอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม 
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระโมคคัลลานะ

(5) พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเดิมมีชื่อว่า โกลิตะ เป็นบุตรของนายโกลิตะคาม กับนางโมคคัลลี ซึ่งท่านเป็นเพื่อนสนิทกับพระสารีบุตร ทั้ง 2 อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นบุตรแห่งตระกูลที่มั่งคั่งเหมือนกัน และได้ออกบวชพร้อมกัน แต่ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก่อนพระสารีบุตร 7 วัน โดยในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นคืนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาท จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นผู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา และให้พระโมคคัลลานะเป็นอัครเบื้องซ้าย เลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์ หรือเป็นผู้มีอภิญญา 6 ประการ ได้แก่ อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้) ทิพพโสด (มีหูทิพย์) เจโตปริยญาณ (กำหนดใจผู้อื่นได้) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้) ทิพพจักขุ (มีตาทิพย์) และ อาสวักขยญาณ (ทำให้อาสวะสิ้นไป)

ข้อมูลเพิ่มเติม จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี